วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

560224 พ่อครูให้โอวาท, นำปฏิญาณ ศีล ๘ พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ ๓๗ ที่ศาลีอโศก


พิธีเปิดงานและปฏิญาณ ศีล ๘ พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ ๓๗ โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่ศาลาพุทธาภิเษก พุทธสถานศาลีอโศก ต.โคกเดื่อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๖
คลิปเสียง mp3 ประจำวันที่ ๒๔ ก.พ.๕๖ ดาวน์โหลดได้ที่นี่.. http://bit.ly/YHxlP1 

งานพุทธาฯปีนี้เป็นครั้งที่ ๓๗ เป็นทศวรรษที่สาม  เข้าทศวรรษที่สี่ได้ ๗ ปี อีกสามปีก็จะขึ้นศตวรรษที่ห้า ถ้าเป็นคนอายุ ๓๐-๔๐ ก็อายุไม่น้อย ถ้าใครมาพบตั้งแต่อายุ ๖๐ ตอนนี้ก็ ๘๗ ปีแล้ว ถ้าใครเจอตอนอายุ ๒๐ ตอนนี้ก็อายุ ๕๗ ปีแล้ว  แต่ที่สำคัญ พ่อครูก็ยังหนุ่ม คนทักเขาจะแกล้งยอหรือเปล่าว่าพ่อท่านหนุ่มขึ้น?  ปีนี้จะมีรายการพิเศษ วันที่ ๒๗ เวลา ๙.๐๐- ๑๐.๓๐ น.จะเป็นรายการ “ขยายอายุขัย” ไม่ใช่ ชลอชรา คำว่า ชลอชรา คือชลอไม่ให้มันแก่ แต่นี่ไม่ใช่แค่ไม่ให้ชรา แต่ขยายอายุขัยให้ยืนยาว ไม่ใช่เรื่องพูดเลยประโลมใจ แต่เป็นการวิจัย มีนักวิทยาศาสตร์ทั้งด้านสุขภาพทางกายภาพ ทางอาหาร มี ดร.วิชัย รูปขำดี เคยเป็นคณบดีที่นิด้าฯ มาเป็นหัวหน้าวิจัย 
คลิปรายการ เทศน์ก่อนฉัน วันเปิดงาน พุทธาภิเษกครั้งที่ ๓๗ ณ ศาลีอโศก และนำปฏิญาณศีล 8 โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

                ดร.ทางด้านกายภาพเราก็มี ตอนนี้ดร.ทางจิตภาพเราก็จะมี มีดร.อภิสินท์ แต่ก็ยังติดขัดที่คนเซ็นผ่านคนสุดท้ายก็ยังยึกยักอยู่  เราจะมีผู้จบทั้งป.โท ป.เอก ไม่รู้กี่ราย แต่ก็ติดที่อาจารย์คนนี้ ถ้าเขาไม่ให้ผ่านก็จะฟ้อง คือกรรมการคนอื่นเขาเซ็นให้ผ่านหมดแล้ว  ทางด้านจิตวิทยา-ศาสนาพุทธ ได้มีผู้วิจัยเรื่องจรณะสัมปัณโน พ่อครูจึงเป็นอาจารย์คอยตรวจ ทั้งสอนและตรวจ แล้วก็ทำส่งกันมา เขาก็เรียบเรียงได้เป็นหลักวิชาการ อย่างน้อยมีสองคนคือ คุณอภิสินธ์ กับคุณหนึ่งฟ้า คุณอภิสินธ์จบป.โทด้วนแผนผัง การเขียนโครงสร้างรูปแบบ ส่วนหนึ่งฟ้ามาต่อยอดขยายอีกที สองเล่มนี้จะเป็นรูปและนาม เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ทางจิต

                จึงเป็นการวิจัยที่ร่วมกันระหว่างวิทยาศาสตร์ทางกายและทางจิต ทางกายมีตั้งแต่โภชนาการ มีแพทย์มาร่วมด้วย โดยมีพ่อครูเป็นตัวอย่างในการวิจัย ที่จะขยายอายุขัย ที่ให้พ่อครูเป็นตัวอย่างเพราะพ่อครูมีจิตวิญญาณที่สะอาดแล้ว วันที่ ๔ มิ.ย. ก็จะครบ ๗๙ ปีเต็มแล้ว เหลือแค่สามเดือนกว่าเอง พอขึ้นวันที่ ๕ มิ.ย. ๕๖ ก็จะขึ้น ๘๑ ปีแล้ว พ่อครูยังไม่รู้สึกว่าแก่เลย
                เขาไปเช็คทางสมอง ว่าเท่ากับคนอายุ  ๔๐ ปี เช็คหัวใจบอกว่าเท่ากับ ๓๕ ปีไปเช็คปอดเขาบอกว่าเท่ากับ ๓๐ ที่เพิ่งไปเช็คมาใหม่ คนที่ตรวจเป็นเทคนิเชี่ยน บอกว่าคนธรรมดาต้องอายุ ๓๐ ปีจึงจะเป่าอันนี้ออกได้ เป็นวิทยาศาสตร์แบบสากลเขาทำกัน
                จึงถือว่าพ่อครูเป็นตัวอย่าง subject  ที่จะวิจัย ถือว่าจิตพ่อครูเป็นผลแล้ว แต่ทางกายเขาจะมีหลักวิชาว่า ถ้าทำให้ถูกต้องตาม ๘ อ. (อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก ) ถือว่าอารมณ์ พ่อครูไม่มีปัญหา (ในเวทนา ๑๐๘ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต พ่อครูว่าไม่มีปัญหาแล้ว) พ่อครูเข้าใจเรื่องอารมณ์หรือเวทนา
                พ่อครูไอสองที่ บอกว่านี่ไม่ใช่สัญญาแห่งความแก่แต่เป็นเรื่องขัดข้องทางเทคนิค
                ถ้าพ่อครูลากสังขารไปให้ถึงเกิน ๑๐๐ ปี แล้วสังขารกายจะเป็นอย่างไร จะเดินเหินคล่องแคล่วหรือไม่? ไม่ต้องไปฉีดสเตมเซลล์ เอาที่เราศึกษา ๘ อ. มีตั้งแต่
                 ๑. อิทธิบาท คือผู้ยินดีจะทำ อยากจะศึกษาลองพิสูจน์ มาทำอย่างสันทิฏฐิโก อกาลิโก ทุกยุคทุกสมัย ศึกษาให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้มี ฉันทะ วิริยะ(พากเพียร) จิตตะ (เอาใจใส่โถมจิต) วิมังสา (ไอ้ที่ไม่ใช่เนื้อเอาออกๆ) ทุกวันนี้มีแต่เนื้อเน่า เราเอาออกให้เหลือแต่เนื้อแท้ๆ มีการเลือกเฟ้นตัดสิน รู้ให้ชัดแล้วเอาสิ่งไม่ใช่เนื้อออก
                ๒. อารมณ์ เป็นหลักเลย จิตเป็นประธาน จิตเป็นใหญ่ อารมณ์คือเวทนา หรือความรู้สึก หรือ feelling  เราเรียนรู้สภาวะให้จริงในเรื่องอารมณ์ในอารมณ์ ๑๐๘ ซึ่งเกี่ยวเนื่องจากมหาภูตรูป แล้วมีอุปาทายรูป(รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔) เป็นกายในกาย แล้วขยายไปสู่ภพใน เป็นเวทนาในเวทนา เป็นจิตในจิต จากจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ.... เวทนาก็แจกเป็น ๑๐๘ แล้วทรงกุศลที่ให้เป็นธรรมะ(ทรงไว้) เอาแต่กุศลไว้
                ๓.อาหาร ก็มุ่งหมายเครื่องอาศัยกินไปเลี้ยงขันธ์ อาหารมีทั้งเครื่องกิน เครื่องพอกทา มีทั้งที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เดี๋ยวนี้เป็นพิษภัยหมด ขนาดที่ไม่ใช่บริขาร มานับเป็นบริขาร เช่นคอมพิวเตอร์ก็เป็นพิษภัย มีรังสี มีคนติดเล่นจนตาย มีอะไรที่ครอบงำความคิดในนี้มาก ให้ทุกข์ร้อน ถ้าไม่ศึกษาสัจธรรมก็ตกเป็นทาสมันหมดเลย เอาอาหารที่เป็นกวฬิงการาหาร ปรุงแต่งก็เป็นพิษแล้ว คนไทยเก่งฉิบหายในการปรุงแต่งอาหาร ในประเทศอื่นปรุงแต่งอาหารไม่เก่งเท่าคนไทย ปรุงกามคุณ ๕ เก่งให้คนติด คนเมืองนอกอาหารเขามีแค่ไม่กี่อย่าง มีขนมปังทานมเนย มีทอดๆผัดๆ ทำอะไรไม่เป็นก็เลยเป็นพิซซ่า (ขยะ) ไทยเราเรียกว่า พิษสาหัส มันเป็นพิษในสิ่งที่ปรุงแต่งกัน  ถ้าได้อาหารที่เป็นสาระร่างกายก็ไม่ทรุดโทรม
                ๔.อากาศ เดี๋ยวนี้คนทำลายอากาศกันมาก พ่อครูพาทำสิ่งที่ทำให้อากาศดี เช่นปลูกต้นไม้ ซึ่งสามารถปรุงออกซิเจนได้เยอะ เราก็ต้องอยู่ในที่ที่เสนาสนะสัปปายะ อย่างชุมชนเราพยายามให้ทุกที่อากาศดี เช่นในสันติอโศก ใครเข้าไปจะรู้ว่าอากาศผิดแปลกจาก สีลม พารากอน ประตูน้ำ จะมีธรรมชาติมากกว่า ถึงวันนี้สันติฯในกรุงก็มีน้ำตก มีเถาวัลย์ มีธรรมชาติที่ใกล้เคียงของจริง และที่ไหนของอโศกก็ทำเช่นนี้ มีน้ำตกแทบทุกอโศก ตั้งแต่เริ่มที่ปฐมอโศกเลย ยังเหลือบ้านราชฯยังไม่มีน้ำตก ตอนนี้กำลังก่อสร้าง เรามีทั้งหินจริง และหินที่สร้างขึ้นซึ่งเหมือนหินกว่าของจริงอีก เราจะพยายามสร้าง Monolith ชื่อ “ผาแหงน”พยายามให้เสร็จทันงานปลุกเสกฯ และจะมีตลาดอาริยะต่อ เราจะทำการปลุกชีวิตแม่น้ำมูน ให้มีชีวิตชีวา เราจะเนรมิตให้ริมฝั่งมูลมีพืชผักผลไม้ ใครจะไปช่วยกันก็เชิญ เราจะมีพิธีรับกลดกันในวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ที่บ้านราชฯ เพราะพ่อครูต้องไปช่วยกันทำตลาดอาริยะซึ่งงานยังมีอีกมาก เราจะทำซุ้มริมน้ำมูลเป็นซุ้มพืชผักผลไม้ ใครจะเด็ดก็เด็ดเอาแล้วไปตีราคา รับรองว่าราคาเราตลาดอาริยะ ไม่แพงแน่นอน บางคนว่า ตีราคาถูกไป ให้ตีราคาใหม่ อย่างฟักทองลูกละ ๑ บาท เขาไม่เอา เขาให้ห้าบาท สิบบาท ที่เราทำมาแล้ว เราจำทำตามจริง ก็ยินดีต้อนรับ นร.รับกลดเราก็ให้ไปสร้างอนุสรณ์ช่วยกันทำตลาดอาริยะ ซึ่งเราจะทำตลาดน้ำด้วย เราจะมีเรือใหญ่ไปปักหลักที่ทั้งท่าเรือกรมเจ้าท่า และท่าเรือริมมูลของเรา สำหรับงานพุทธาฯ เราก็จะเรียนรู้กันในการปฏิบัติจริง อาหาร
                ๕. ออกกำลังกาย
                ๕.เอนกาย
                ๖.เอาพิษออก ตอนนี้เราก็มีการล้างพิษ
                ๗. อาชีพ คนที่มีอาชีพที่อายุสั้นที่สุดคือ อาชีพ แพทย์ หมดที่ช่วยให้คนอายุยืน แต่หมออายุสั้น มันปะหลาด ถ้าเรามีสูตรขยายอายุขัย หมอก็จะเข้าใจ เราได้ต้องพยายามให้อายุยืนขึ้น อาชีพอื่นๆก็ตาม อาชีพนักเลง ไปค้าขายไม่ถูกกฏหมาย เสียงภัย แม้แต่อาชีพหากินกลางคืนก็อายุสั้น เราต้องรู้จักพักรู้จักเพียร
                เรามาเรียนพุทธาฯเป็นครั้งที่ ๓๗ แล้ว ผู้มาร่วมก็จะเห็นประโยชน์มันเป็นนามธรรม ก็รู้ยาก คนก็ไม่ค่อยเห็น มันอสรีรัง จับไม่ติด นอกจากไปหลงผิดว่าจิตมีรูปร่างโฉมกาย แล้วก็ปั้นหลอกตัวเอง เป็นมโนมยอัตตา ที่จริงเราปั้นได้ทุกคนเคยปั้น แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นจริง แล้วจะตัดแบ่งรูปาวจรกับอรูปาวจร ตัดแบ่งตรงไหน อันไหนสดกว่า อันไหนแห้งกว่า
                มโนมยอัตตาในกามาวจรนั้นสดกว่า แต่ในอรูปาวจรนั้นแห้งกว่า เราปรุงก็เกิดกามาวจรเลย ท่องเที่ยวอยู่ ถ้าโง่ก็ปรุงไปเรื่อย แต่ถ้าเราเรียนรู้เราก็จะรู้ว่ามีผีมาปรุง เราก็อ่านในสังกัปปะ แล้วกำจัดผี ถ้ากำจัดได้ก็สั่งสมเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ พริกเด็ดเขียวๆ แล้วเอามากินเลยนี่สดกว่าเป็นกามาวจร ส่วนพริกในครัวแห้งๆแล้วเอามาปรุงกิน นี่คือรูปาวจร อรูปาวจร
                พระพุทธเจ้าศึกษากายและจิตจนรู้ว่า จิตเป็นใหญ่จิตเป็นประธาน กายกรรมวจีกรรม มโนกรรมก็เกิดมาจากใจ ใจเราก็ไปรู้เรื่องสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การค้า การหลอกลวง ก็รู้ไปหมด จึงเรียกว่า มโนปุพพัง(จิตเป็นตัวรู้) พุทธเป็นศาสนาสังคม ไม่หนีสังคม รู้จักโลกสมุทัย ที่มีอะไรปรุงแต่งเป็นอกุศลเหตุ เราก็รู้ชัด แล้วเราไม่ทำเหตุที่ไม่ดี เราทำไมโง่ทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่ พระพุทธเจ้ารู้ทุกมุมของโลกสมุทัยแล้วดับมันได้ก็มีโลกนิโรธ  เมื่อจิตมีความตั้งมั่นสมบูรณ์ขั้น นิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปรณาธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง ก็จะอนุโลมกับเขาได้ ไม่มีจิตมุ่งร้ายกับใคร ใครจะร้ายกับเราเราก็รู้ว่าเขาทำไปอย่างไม่รู้ เหมือนเด็กทำอะไรเราก็รู้ว่าเขายังเด็ก ไม่เดียงสา มันก็จะเห็นใจเขา สงสารเขา เขายังไม่อยู่ในภาวะที่สอนได้ บังคับได้ก็บังคับแต่ก็รู้เขตว่าควรหรือไม่ควรบังคับ
                ในยุคนี้คนฉลาดและรักอิสระเป็นตัวของตัวเอง แล้วยกย่องคนที่ไม่บังคับ พ่อครูก็เลยไม่บังคับ แต่มันมีความซ้อนที่ว่าถ้าพ่อครูให้เลือกเอง ก็จะได้คนที่เต็มๆ อิสระ พ่อครูสอนคนอย่างนี้ง่ายกว่า แต่ขนาดนั้นยังไม่ง่ายเลย อย่างการเล่นโปกเกอร์ ใครเล่นเป็นบ้าง แต่พ่อครูเมื่อก่อนเล่นเป็นแต่ไม่เก่ง ผู้ใดสามารถได้อะไรครบเต็ม เหมือนฟูลเฮาส์(เห่า) ก็จะรู้ว่าควรอนุโลมใคร และจะประมาณเป็นว่าตนเก่งเท่าไหร่ เรามีร้อยอย่างเก่งก็ใช้เต็มร้อย อย่าไปทำเกินร้อย
                อย่างเต็งสาม(คุณเสรีฯ) ที่เราช่วยกัน เราต้องเผื่อพอ เพราะเขามีกลวิธี มีเล่ห์กลอีกมาก เราต้องเผื่อพอ พ่อครูว่าโกยจากเต็งสองมาให้เต็งสาม ก็อาจจะพอ แม้แต่เต็งหนึ่งรู้ตัวถอนมาให้เต็งสามยิ่งดีเลย
                การเลือกตั้งนี้เราเลือกคนไปบริหารบ้านเมือง (ไม่ใช่เลือกช้างไปบริหารประเทศ) คนก็จะรู้ว่าจะใช้คนอย่างไร ไม่ใช่เลี้ยงบริวารที่เลว แรงโหดร้าย เผาทั้งประเทศผมรับผิดชอบ อย่างนี้ไม่เอามาเป็นบริวาร ต้องเลือกคนดีไปช่วยกัน
                สรุปแล้วต้องเลือกคนดีบริสุทธิ์สะอาดกล้าหาญ เราต้องเลือกคนที่ใม่ตกในอำนาจพรรค ไม่ขึ้นกับอำนาจ ยศ ลาภ ตำแหน่ง ที่เขาใช้ข่มขูคน เรามาเลิกวงจรบริหารอย่างนั้นที่มีอยู่เต็มโลก เราต้องสร้างอันใหม่ ดีที่ยังมีช่องทางในการเมืองท้องถิ่นของกทม. (Thailand is bankok / bankok is Thailand) กรุงเทพฯคือเมืองไทย เมืองไทยคือกรุงเทพฯ กรุงเทพจะเป็นตัวอย่างของโลกเลย ถ้าทำได้ถึงชุมชนสาธารณโภคีอย่างบ้านราชฯ เป็นสูตรของพระพุทธเจ้า ในอดีตท่านสร้างได้ในหมู่สงฆ์ ในฆราวาสทำไม่ได้เพราะเป็นยุคทาส แต่สมัยนี้เป็นยุคประชาธิปไตย อย่างอเมริกา เขาเริ่มต้นโดยไม่มีประมุขเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เขาจึงเป็นต้นแบบประชาธิปไตยที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน พ่อครูเรียกว่า ประชาธิปไตยขาเดียว ส่วน ที่มีพระเจ้าแผ่นดิน เรียกว่า ประชาธิปไตยสองขา และยืนยันว่า แบบสองขานั้นสมบูรณ์กว่าเพราะมีจิตวิญญาณ ยกตัวอย่างอเมริกา ไม่มีอเมริกาธิราช แต่ของไทยเรามีพระสยามเทวาธิราช ซึ่งเขาจะไม่เข้าใจว่ามีฤทธิ์เดช ถ้าพระเจ้าแผ่นดินเป็นเทพเทวาที่จริง ประชาชนจึงเคารพพระเจ้าแผ่นดินที่มีทศพิธราชธรรม โดยไม่ต้องบังคับ เขาเคารพด้วยใจ พิสูจน์จากในวันที่ ๕ ธันวาฯที่ผ่านมา ไม่ว่าจะใช้อำนาจ ใช้เงินจ้างเกณฑ์กันมากี่ที ก็ไม่เท่าพระเจ้าแผ่นดิน ที่ไม่ได้เกณฑ์กันมาไม่ได้จ้างกันมา มีป้าคนหนึ่งตอบนักข่าวทีถามว่า มาทำไมจะเห็นพระเจ้าแผ่นดินหรือ?...ป้าตอบว่า ไม่ได้มาดูพระเจ้าแผ่นดิน แต่มาเป็นจุดเหลืองเล็กๆในสายพระเนตรของพระองค์คือมาให้พระเจ้าแผ่นดินดู)
                เรามาอยู่ในหมู่ดี เรามาพาพวกของเน่า คุณบาปมากนะ ทีให้ออกไปเพราะไม่อยากให้คุณทำบาปมาก ให้ออกไปเราไม่ได้โหดร้ายถ้าถึงขีด เราก็ให้ออก เป็นอเวไนยสัตว์ ก็มีพวกที่ดื้อด้านอยู่กันไป แต่ในหลักวินัยก็มีปรับสังฆาทิเสสในข้อที่ว่ายากอนยากดื้อด้าน ก็ให้อยู่กรรม ถ้ายังทำอยู่ก็ให้ทำการพรหมฑันณ์ ไม่บอกไม่สอน แต่ถ้าถึงปาราชิก ก็ไม่ให้ธรรมะเลย ในหมู่พวกเราก็ให้สะอาดอยู่ ใครสังฆาทิเสสก็ให้อยู่กรรม ใครมีนิสสัคคียะปาจิตตีย์ก็ให้สละออก เช่นคุณพกเงินแล้วคุณแพ้มันคุณก็ต้องสละออกก่อน ถ้าไม่ปฏิบัติจริงก็เละ ไปไม่รอด พ่อครูก็พยายามทำให้ดี ทำคืนมาได้แค่ไหนก็เอา
                พ่อครูขอบคุณทุกคนที่ตั้งใจทำดี แล้วก็มาผนึกกัน ให้ศาสนาไปได้ พูดด้วยความจริงใจ  เพราะมันหายาก ขอบคุณที่เอาตัวเองมาเป็นเนื้อเป็นมวลให้(คำขอบคุณของพ่อครูไม่ค่อยมี ออกมาแต่ละครั้งก็จริงใจ ไม่พร่ำเพรื่อ พ่อครูปากหนักไม่ค่อยขอบคุณ) ถามปัจฉาฯเลยว่าช่วยทำให้พ่อครูหลายอย่าง ไม่เห็นจะขอบคุณ ซึ่งเขาขอบคุณกันพร่ำเพรื่อ ทำผิดก็ยังขอบคุณอย่างนั้นมันไม่ใช่ คุณมาทำดี มาเป็นมวลทีดี ก็ได้สิ่งดี แล้วจะมีรูปร่าง ที่เกิดจากพฤติทางกาย วจี ที่ออกมาจากมโน ที่มารวมเป็นหนึ่งเดียวแน่น พร้อมพรั่ง ไปไหนไปกัน  มีปัญญามาวิเคราะห์วิจัยกัน ค้านแย้งกันพอประมาณ มีหลักสัมมุขาวินัย ซึ่งพรั่งพร้อมด้วย บุคคล วัตถุ หลักฐาน แล้วมาพร้อมกันผู้รู้ช่วยกันตัดสิน หรือโหวตกัน เป็นเยภุยยสิกา ก็ได้ หรือกลบไว้ก่อน เอาหญ้ากลบไว้ (ติณวัตถารกวินัย) คือประณีประนอมกันก่อนยังไม่ตัดสินก็ได้ พระพุทธเจ้ามีหลักไว้หมดให้ตัดสินกัน สมบูรณ์ให้หมู่ไปได้ แม้แต่มีเรื่องสติวินัย อย่างในมาตรา ๑๑๒ เขามีเอกสิทธิ์ให้ในหลวง ซึ่งคนเขาไม่รู้ว่าต้องมีสมมุติให้คนที่ควรยกให้ มีบางคนจะให้เท่ากันหมด อย่างนั้นมันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า คนอย่างนี้พ่อครูว่ากลัว ส่วนคนที่เอาตามหลักพระพุทธเจ้านี่พ่อครูไม่กลัว ใครเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ขอคารวะ ๓ จอก ไปเลย
                พระพุทธเจ้ามาสร้างคนสร้างสังคม มีทั้งความรู้ การสร้างสรร พระพุทธเจ้ามีปัญญารู้ว่างานไหนควรทำ ผู้รู้ไม่ติเตียน อย่างพ่อครูที่พาไปประท้วงชุมนุมก็มีคนติเตียนพ่อครู ก็พาไปหลายครั้งก็ไม่ได้มีผลเสีย มีผลดีผลได้ อย่างพอประมาณ ทำตามหลักมหาปเทส ๔ สัปปุริสสธรรม ๗ ใครศึกษาธรรมก็จะเห็นสอดคล้อง ซึ่งพ่อครูเป็นโพธิสัตว์ก็ศึกษามาหลายชาติ ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยเขาก็ยึดของเขา พ่อครูฉลาดที่จะเอาประเด็นของเขามาใช้อธิบาย พ่อครูไม่ได้เกลียดเขา อย่างคุณ 8705 ที่เขายกประเด็นว่า “รูปนามนั้นเกิดดับอยู่ตลอดเวลา” เขาว่ามันเกิดดับจนเขาจับไม่ได้ เขาจึงว่ามันไม่ใช่ตัวตน พ่อครูเลยเอามาใช้อธิบาย อย่างรูปนาม นั้นมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ซึ่งอุปาทายรูปนั้นเนื่องมาจากมหาภูตรูป
อย่างการสังขาร นั้นพระพุทธเจ้าอธิบายเรื่องวจีสังขาร ที่อยู่ในสัมมาสังกัปปะ ๗ (ตรรกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนา วจีสังขารา) เราต้องมีสัญญาที่จะกำหนดเวนทา ๑๐๘ และต้องมีสัญญากำหนดรู้ เจตนาของคุณ ที่คุณเป็นคนสังขาร หรือไม่สังขารอะไร คุณทำเป็นไหม ถ้าทำเป็นคุณทำได้ ก็มนสิการเป็น ก็จะได้อภิสังขารที่ไม่มีอกุศลเหตุทุกทีที่ปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์ หรือไม่เป็นอรหันต์ก็ได้เป็นครั้งคราว ที่จะปรุงอย่างไม่มีอกุศลเหตุ แต่ถ้าทำได้ถาวรก็เป็นอรหันต์
สิ่งที่มีกับไม่มี 8705 ก็พูดเท่ห์ว่าไม่ให้โต่งในด้านมีกับไม่มี แต่คุณรู้ไหมว่าอะไรควรมี อะไรควรไม่มี.....ที่ควรมีคือโลกนิโรธ ที่ไม่กลับฟื้นคืน ไม่กลับกำเริบ ถาวรเที่ยงแท้ ที่ควรไม่มีคือโลกสมุทัย....
ถ้าอโศกมีมวลมากกว่านี้จะช่วยโลกได้มากกว่านี้ จะว่าต้องการมวลก็ต้องการ แต่ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับเขา เราควรรีบมาไหม?...แล้วใครยังไม่มายกมือขึ้น......
ใครมาอย่างมีเรือพ่วง(มีลูก) ถ้าลูกคุณอยู่ไม่ได้คุณจะทนไหวไหม ถ้าลูกถูกให้ออก คุณจะออกไปช่วยลูกก็ไม่เป็นไร หรือสุดท้ายคุณจะตัดใจจากลูก ลูกไปเป็นนักเลงก็แล้วแต่ มีทั้ง นักเลงหัวไม้ นักเลงหัวเหล็ก นักเลงหัวทอง นักเลงหัวเพชร คือพวกทำเลวหน้าด้าน ทำอย่างหน้าตาเฉย ใครจะว่าอะไรก็ทำเลวต่อ พวกนี้เบ่งอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง
ปลุกเสกฯ พุทธาฯ เหมือนสอบไล่ชาวอโศก ปีหนึ่งก็มีสองครั้ง ตอนนี้มีว.บบบ.แทรกเข้ามา ก็รับสมัครอยู่ และยังมีแบบกิจลักษณะแบบ ว.สว. (ว.คือวิทยาลัย ส.คือสัมมาสิกขา ว.คือวิชชาราม) เราเปิดมาปีแรก ๒๕๕๕ รุ่น ๑ ตอนนี้ก็รุ่นสอง ปีนี้จะเริ่มสมัคร ๒๔ ก.พ. –๓๑ มี.ค. ๕๖ ใครพอสมัครได้ก็มา แก่เกิน ป่วยเกินก็ไม่ควรเรียน เราไม่เกี่ยงอายุ อายุ ๑๐๐ ถ้ายังแข็งแรงอยู่ก็มา หัวสมองพอไปได้ก็มา เป็นวิทยาลัยอยู่ประจำ วันที่ ๑. เม.ย. ๕๖ รายงานตัวที่ ส.สว. ที่บ้านราชฯ ๖-๑๕ เม.ย. เข้าค่ายคัดตัว ต้องการรายละเอียดก็ให้ติดตามต่อไป
ส่วน ส.สว. คือ (ส.แรกคือสถาบัน สว.คือสัมมาสิกขาวิชชาราม) สถาบันนี้จะขออนุญาตผลิตป.โท ป.เอกต่อจาก ว.สว. ใครสนใจรายละเอียด ก็เชิญไถ่ถามกันอีกที
สรุปว่าเรามีการศึกษากันอย่างโลกเขา การศึกษาอโศกคืออะไร?....(มีคนตอบว่า ศีลเด่น)  แต่ คำตอบคือ ไตรสิกขา ใครจะตอบว่า ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชชา หรือ ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา หรือ ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา ก็ได้ หรือจะบอกว่าโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ก็ได้ เพราะนี่คือการศึกษาไตรสิกขาทั้งสิ้น มาศึกษาให้เหนือโลก รู้ทันโลก ตามฐานะ (โสดาฯ สกิทาฯ ไปจนถึงอรหันต์..ต่อโพธิสัตว์ ไปจนพระพุทธเจ้า) ไม่ใช่ว่าโลกะวิทูคือของพระพุทธเจ้าเท่านั้นไม่ใช่ คนอื่นก็รู้ได้ตามลำดับฐานะ ส่วนปุถุชนสิไม่รู้โลก ตนวนกับอบายยังไม่รู้ตัว ขนาดหัวหน้าความเสื่อมยังไม่รู้ อย่างนักเลงหัวไม้ ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก เก็บส่วยในตลาด พวกนี้เรื่องเล็ก แต่นักเลงหัวเพชรนี่แหละยอดอภิมหาอบายมุข อย่าไปคบหา  คุณจะไปสู้เขาไหวหรือมันเก่งนะ จบดร. คุณตกเป็นเบี้ยเขาทั้งๆที่รู้ว่าไม่ดี แต่ก็ต้องเป็นทาสเขา เพราะอ่อนแอ ตกเป็นทาสลาภยศสรรเสริญ เราจะมีตาทิพย์มองเห็นสิ่งเหล่านี้จริง
                ต่อไปเป็นการเข้าสู่การปฏิญาณตน พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์
คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล
                     [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯŽ  ๓ จบ ก่อน]
ณ บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงาน............ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าทั้งหลาย
จะขอบำเพ็ญธรรม ประพฤติตนอยู่ในศีล ๘ อันได้แก่
ปาณาติปาตา เวรมณี จะขอตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายรุนแรง  เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม
อทินาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เชิงเอาเปรียบ  จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว
อพรหมจริยา เวรมณี จะขอตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม
มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ
เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะ เป็นธรรม
สุราเมรยมัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา
มีอบายมุขทั้งหลาย มีกามต่อมา มีโลกธรรม ๘ อีก และเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพ
วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจปีชระพฤติ  เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ที่
ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายามเป็นผู้มักน้อยสันโดษ
นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้ของหอม เครื่องตกแต่งพอกทาเครื่องประดับประดิษฐ์ประดอย
อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติเว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรักของใหญ่ เว้นขาดจาการสะสมของใหญ่ ที่สุดเว้นขาดการหลงติดความใหญ่
ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ได้ผล  ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ตามธรรมสมควรแก่ธรรม 
ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะนำพาช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันด้วยดี ให้สุดความสามารถ
                ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ตามนี้.

                ก็ให้พยายามอยู่ให้ได้ถึง ๗ วัน จะมีการปะติดปะต่อกันไป ใครมีธุระจริงๆจะเป็นก็ไม่เป็นไร
ชีวิตมนุษย์กี่ชาติๆก็วิ่งไล่ล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แล้วได้มาก็หวงแหน ทั้งกาม และอัตตา ยศคือเครื่องกำหนดให้เราทำงาน ยศสูงก็ทำงานมากแค่นั้น สรรเสริญนั้นเราทำดีเขาก็สรรเสริญ ดีไม่ดีสรรเสริญผิดอีก แต่คำตำหนินี่ดี ควรรู้ก่อนควรได้ก่อน ยิ่งสุขนั้นมีแต่ของหลอก ไม่จริง มีแต่ความสงบสบาย ผู้ข้ามโอฆะสงสารได้คือเราไม่พักเราไม่เพียร ท่านตรัสสั้นๆ แต่ผู้รู้จริงจะชัดเจน เท่านั้นแหละชีวิต แต่ละชาติเอาชีวิตมาศึกษาให้ได้ปรมัตถ์ ใครได้ปรมัตถ์ไม่โมฆะบุรุษ ใครไปหลงลาภยศสรรเสริญสุขนั้นโมฆะบุรุษ ไปคิดให้ดีๆ ไม่ได้ใส่ความ ยิ่งหลงหนักเท่าใดก็โมฆะหนัก ดีไม่ดีมีแต่อกุศลใส่ตัว ใครมาพากเพียรทางนี้จะได้บรรเทาที่ไปหลงไหลให้ชีวิตเปล่าดายเปล่าชีวิตที่เกิดมาทั้งชาติ.....จบ

ไม่มีความคิดเห็น: