วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

560302_ทำวัตรเช้า "ธรรมที่เป็นพุทธ" ตอนที่ ๖


ทำวัตรเช้างานพุทธาฯครั้งที่ ๓๗ เรื่อง ธรรมที่เป็นพุทธ ตอนที่ ๖
โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ณ พุทธสถานศาลีอโศก จ.นครสวรรค์ เมื่อวันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๖
ลิงค์ mp3 ประจำวันที่ ๒ มี.ค. ๕๖ ดาวน์โหลดได้ที่.. http://bit.ly/ZzyA1X 

            พ่อครูระลึกไม่ได้ว่าชาติที่แล้วได้เรียนบาลีหรือไม่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องบาลีว่าเขาเรียนเขาสอนกันอย่างไร แต่คนเราทุกคนรู้จักการใช้ภาษามากกว่าสัตว์อื่น คนใช้ละเอีดดลออกมาก สื่อรู้ชัดในนามธรรม และในรูปธรรมมีมากละเอียดลออจริงๆ แต่ในพระไตรฯเล่ม ๑๖ ข้อ ๑๔ พระพุทธเจ้าตรัสถึงรูปและนามว่า รูปคือมหาภูตรูปและอุปาทายรูป ส่วนนาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ซึ่งต้องมีสภาวะต่างๆรู้สภาวะต่างๆ ว่าต่างกันอย่างไร เป็นนามทั้งนั้นแต่เอามา ๕ ชื่อนี้ มาขานเพื่อให้รู้ว่าให้ใช้และปฏิบัติได้ แม้ในเวทนาก็แจกไปอีกถึง ๑๐๘ อย่าง ต้องรู้ว่าการปฏิบัติในภาวะปัจจุบันเป็นอย่างไร และรู้มโนเจตนาว่าเรามีวิภวตัณหา อ่านเวทนาที่เกิดจากทวาร ๕ กระทบมหาภูตรูป มีผัสสะ ก็เป็นกายในกาย เกิดเวทนาในเวทนา ต่อเนื่องไปถึงจิตในจิต ที่เป็นเจโตปริยญาณ ๑๖ อีก รู้ว่ามีกิเลสเกิดอย่างไร เราก็ทำการปหาน ๕ ได้อย่างเป็นลำดับจนมั่นคงแข็งแรง จนสัมผัสกิเลสอย่างไรก็ไม่กระดิกเลย ต้องพิสูจน์ให้ได้ในทุกปัจจุบัน ในเวทนา ๓๖ ของปัจจุบัน ให้สมบูรณ์มีผลครบ เป็น โลเกอัตถิตา คือมีผลแล้ว (มีความไม่มี) ก็ปฏิบัติมีผลสูงสุดคือกิเลสสูญในทุกปัจจุบัน ผู้นี้แหละคือผู้ที่มี เป็นความประเสริฐที่มนุษย์ทุกผู้ต้องรู้ความมี (มีชีวิต) แต่คุณก็ไม่มี (ไม่มีกิเลส) ใครจะกระทุ้งกระแทกยั่วยวนจนถึงฆ่าเรา เราก็ไม่มีกิเลส มีนิโรธสนิท เที่ยงแท้ยั่งยืน ถาวรไม่กลับกำเริบ

คลิปทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกครั้งที่ ๓๗ ณ ศาลีอโศก ส. ๒ มี.ค. ๒๕๕๖ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง เริ่ม 04:00 น. ตอน.. "ตรวจวิญญาณที่ปั้นอัตตาสำเร็จด้วยจิต"

            เพราะเราได้ตรวจสอบถึง อรูปฌาน ที่ก็ต้องลืมตาสติปัฏฐานในการปฏิบัติ ความมีเช่นพระอรหันต์ท่านก็ยังมีชีวิต มาอธิบายธรรมะ แต่ท่านก็ไม่มีกิเลสเลย

          เราต้องมีตัวรู้ของเรามีญาณของเราเป็นตัวกำหนดว่า อารมณ์ตอนนี้เราอุเบกขาไหม มันกลางคือไม่มีกาม หรือพยาบาท ไม่ผลักไม่ดูด แต่มันรื่นเริงเบิกบาน ไปในทางสดชื่นไหม ไม่ได้ขุ่นมัว (พ่อครูว่ากำลังอ่านใจในปัจจุบันให้พวกเราฟัง อ่านเหมือนการรายงานข่าว พร้อมกันนั้นก็ผัสสะกับคุณอยู่ เจตนาปรุงแต่งนิรุติปฏิภาณ แสดงนัจจะคีตะวาทิตะมีกรรมกิริยาคือให้คุณได้รู้ธรรมะ แต่สิ่งที่ไม่มีๆๆๆๆๆๆๆๆคือกิเลส แต่อนุโลม มีการยินดีไหม  มียินดี อนุโมทนาที่พวกคุณรู้เรื่อง แม้จะพูดไปคนก็ไม่ฟัง คุยกัน ไม่น่าควรยินดี แต่เราก็ไม่เกิดความผลัก แต่ก็จะไปชอบได้อย่างไร เพราะเขาขัดแย้งกับสิ่งที่ควร แต่เราอุเบกขาอยู่ จิตจะอนุโลมไปสู่ความหม่นหมองไม่มี ในสติปัฏฐาน มีการทำจิตให้ร่าเริงอยู่ตลอดเวลา จิตปัสสัมภยังจิตตัง  จิตอภิปโมทยังจิตตัง ทำให้จิตสมาทหัง (แข็งแรงตั้งมั่น) จิตอนุโลมได้ ไม่ได้ว่าง เพราะมีร่าเริงเบิกบาน เป็นอุเบกขา แต่จิตร่าเริงเบิกบานในกุศล ไม่ใช่เรื่องแรง เป็นผรณาปีติ แผ่ซ่านไป ไม่ใช่อุพเพงคาปีติ ได้ในฌาน ๓ ฌาน ๔ หรือมีฌาน ๒ ปีติปราโมทอยู่ แต่ก็รู้ว่าผรณาปีติจะมากไปยินดีมากไปหนักไป มันจะติดได้มันจะจับตัว ต้องมีปัญญาอย่าหลงจับตัวกับมัน จิตจากเดิมเป็นยางธรรมชาติ ต่อมาเป็นกาวตราช้าง และต่อไปมันจะเป็นยางเหนียวจนกลายเป็นอีพ็อกซี่ไปเลย ถ้าไปปรุงแต่งด้วยอวิชชาจะเป็นยางเหนียว อีกกี่ชาติมันจะหยุด
            เรามีวิญญาณเป็นแค่อาลยวิญญาณหรือไม่ เป็นเครื่องอาศัยเพื่อทำงาน เมื่อเราไม่ทำงานก็อุเบกขา เราทำงานด้วยเมตตา ซึ่งต้องใช้สัญญาในการกำหนดในปัจจุบัน ส่วนปัญญาเป็นองค์รวมใหญ่ในการรู้ สัญญาเป็นตัวปฏิบัติในปัจจุบัน และเป็นคลังเก็บข้อมูลใหญ่ มากมายจนบางทีชักออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าเก็บไว้ที่ไหน ส่วนปัญญาคือตัวกำหนดรู้ ปริเยยยะคือการกำหนดรู้ ก็คือปัญญาคือการรู้รอบ
            เหล่านี้เป็นรายละเอียดของนามธรรม ที่มีมากมาย พระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นพยัญชนะมากมาย มีบางคนเขาไม่ถือว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญ เขารู้ว่าไม่มีอะไรเป็นอัตตาเลย ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตน สัพเพธัมมาอนัตตา เขาคิดว่าอันนี้คือเบื้องต้น แล้วเขาจะรู้การปฏิบัติอย่างไร ถ้าเขาปฏิบัติให้ถูกในเบื้องต้นจะรู้ว่าเรามีอัตตาอะไร และได้ปฏิบัติให้เห็นอนัตตาในแต่ละระดับ กิเลส มีอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ พวกเราก็เรียนรู้แล้วไปอ่านกิเลสได้จริง แต่คนที่ฟังไม่รู้เรื่อง เขาว่าไม่มีกิเลสหรอก จึงไม่มีการปฏิบัติเมื่อตายไปก็สูญ นี่ก็คืออุจเฉททิฏฐิ ขาดสูญ
            ก็เข้าใจความเห็นของพวกขาดสูญ เขายึดทิฏฐุปาทานอย่างนั้นจริง เขาว่าเขาก็สงสารพ่อครู เขามีเมตตาจึงส่ง sms มาชี้แจง เขาว่า
 8705   ทีนี้จะขอย้อนกล่าวถึงเรื่องของอัตตาฦที่พธร.เข้าใจผิดคิดว่าคือตัวกิเลส! เพราะแท้จริงโดยปรมัตถ์แล้วฦหาอัตตามิได้พบ! แล้วจะเป็นตัวกิเลสหรือเป็นตัวทุกข์ได้อย่างไรเล่า! และขอให้จำไว้ว่า สิ่งที่มนุษย์ต้องการจะทำให้สำเร็จฦโดยสิ่งนั้นไม่มีวันที่จะให้สำเร็จได้! ก็สิ่งนั้นคืออะไรเล่า? ก็คือการพยายามสร้างอัตตาของตนขึ้นมา นั่นเอง! และนี่แหละคือกองทุกข์ที่ไม่มีวันจบสิ้น! นอกเสียจากว่า จะหยุดสร้างอัตตาของตน)เมื่อไรฦเมื่อนั้นทุกข์ก็จะค่อยๆดับไปเอง! ฉะนั้นจึงเห็นชัดว่าการที่จะดับกองทุกข์ได้นั้นฦจึงมิใช่เป็นการไปฆ่าอัตตาฦหากแต่เป็นการไม่สร้างอัตตา(ของตน)ขึ้นมาเอง ต่างหากเล่า! เพราะว่าโดยปรมัตถ์ ทั้งรูปและนามฦต่างก็หาอัตตามิได้ตั้งแต่แรกแล้ว! แล้วจะไปฆ่าอัตตาที่ตรงไหนจ๊ะ? หรือว่ามหาโพธิรักยังจะเถียง! ซึ่งเรื่องของเรื่องก็คือฦพธร.โง่บรม)ตั้งแต่แรกแล้วฦที่ไปหลงเข้าใจผิดคิดว่า อัตตามีมาตั้งแต่แรกแล้วจึงดันทะลึ่งไปตั้งอัตตาไว้ก่อน! และนี่แหละคืออัตวาทุปาทานของพธร.!
เขาเอาความไม่มีอัตตาของเขาไปเป็นอัตตานั่นเอง
ต่อไปจะต่อเรื่องวิโมกข์ ข้อที่ ๔
๔. ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา  เพราะดับปฏิฆสัญญา  เพราะ(ละ)ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา  โดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ   ด้วยมนสิการว่า...  อากาศหาที่สุดมิได้ (สัพพโส  รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ ปฏิฆสัญญานัง    อัตถังคมา  นานัตตสัญญานัง  อมนสิการา  อนันโต  อากาโสติ   อากาสานัญจายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ)  เราอ่านอาการของความรู้สึกสุข เมื่อมันถูกรู้ก็จะกายเป็นรูป(อุปาทายรูป)  เราต้องรู้ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ รวมเป็นมนสิการ คำว่า นานัตตสัญญา คือกำหนดรู้สัญญาต่างๆ
ในวิญญาณฐีติ ๗ ข้อ ๕
. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๕
ในปฏิฆะสัญญานั้นจะดับเลย คำว่า คำว่าอมนสิการท่านแปลว่าไม่ใส่ใจซึ่งไม่นาจะถูก บาลีว่า อมนสิการ คือไม่ต้องทำใจในใจ เพราะเสร็จกิจแล้ว เป็นขั้นอนุโลม ปรุงแต่งเป็นอภิสังขารได้แล้ว
            ถ้าเป็นฌานหลับตา คำว่าอากาสานัญจายตนะของพวกไม่สัมมาทิฏฐิ อารมณ์ว่างจากนิวรณ์นั้นมี จิตมีกุศลจิต มีกุศลสังกัปปะ นึกคิดอะไรได้ดี เพราะไม่มีกิเลสกวน จิตใส แต่ก่อนคิดไม่ออก แต่พออันนี้คิดได้ดีได้ไว แล้วหลงว่านี่คือปัญญา (ที่จริงปัญญาคือรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ความคิดที่ไปคิดต่อเนื่องจากสัมผัส คิดผกผันอะไรก็ได้ คิดเป็นวิมานปรุงแต่งอะไรก็ได้ เหตุผลคิดมาหักล้างกี่ตลบก็ได้ แต่ไม่ใช่ปัญญาที่เห็นความจริงตามความเป็นจริง โดยมีสัญญาเป็นตัวกำกับด้วย ปัญญาไม่ได้ขาดสัญญา ) แต่ปัจจุบันที่ไม่มีสัมผัส ก็ไม่ใช่ความจริงแล้ว นี่คือความติดยึด ที่คุณดึงเอาสัญญาความจำมาระลึกรู้ ถ้าสัมผัสแล้วกำหนดรู้ก็เป็นปัญญา  แต่พอไม่ได้สัมผัส วิญญาณทางตาก็ไม่มี ปัญญาทางตาก็ไม่มี แต่คุณมีสัญญา แล้วก็เผลอว่าเป็นของจริงที่สัมผัสอยู่เมื่อกี้นี้ แล้วก็ไปยึดว่ามี เป็นตัวจริงเป็นสุขอย่างที่สัมผัสเมื่อกี้นี้ มันก็หลงว่าสัญญาเป็นอัตตา เป็นตัวตน ที่จริงเป็นความจำไม่ใช่ความจริง
            พอผัสสะไม่มีแล้วไม่มีปัญญามีแต่สัญญา แต่พอคุณนั่งสมาธิคุณไม่มีรูปจริงให้สัมผัส คุณก็เอาสัญญามาขบคิดผกผันทั้งนั้น ไม่ใช่ปัญญา มีแต่สัญญา แล้วก็ไปยึดว่าจริง ยึดสัญญาเป็นตน ที่เราเน้นหนักคือไม่ให้ยึดสุขยึดทุกข์ แม้อุเบกขาก็ไม่ให้ยึดเป็นเรา เราไม่ยึดแต่เราอาศัยอุเบกขา มีเมตตาเป็นตัวทำงาน เป็นพระพรหม มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา (มีองค์คุณ ๕ คือ มุทุ กัมมันยา ปภัสสรา) ปภัสสราคือความว่างความใส คืออากาสาฯ คุณนึกคิดปรุงแต่งอยู่ก็เป็นอภิสังขารอยู่ เป็นกัมมันยาคือทำการงานด้วยอัญญา อัญญาจึงเป็นความฉลาดที่เหนือกว่าสัญญา และปัญญา ปัญญามีเมื่อมีการกระทบสัมผัส เมื่อไม่มีสัมผัสปัญญาไม่มี เช่นกำลังไปรู้ความว่างในอากาศ คุณไม่มีปัญญาทางตา หู ไม่มีการรู้ความจริงตามความเป็นจริงในทางตา ทางหู ไม่เห็นไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น คุณเหลือแต่ใจในใจแล้วก็ดึงสัญญามาคิด เมื่อมันปรุงคุณก็รู้ว่ามันปรุงอะไร จะบอกว่าความรู้นั้นครบไหม ก็ไม่ครบ มันรู้แต่ในใจเท่านั้น มันรู้ความจริงตามจริง ของการปรุงแต่งสัญญา จึงเรียกว่า “อากาศของความว่าง หรืออภัสสรา” ที่จริงมันมืดแต่คุณไปปั้นแสงสว่าง ก็เป็นแสงสว่างของแต่ละคน ในการหลับตาที่จริงมีแต่มืด เป็นกิณหา แล้วก็หลงกิณหาความมืดว่าเป็นนิโรธ เรียกว่าเป็นนิโรธ ในพวกมิจฉาทิฏฐิ ที่นั่งหลับตาให้มันดับ ก็ได้ความมืด และสายอาภัสสราก็ไปได้ความสว่าง กายของอาภัสสราก็เป็นความสว่าง แต่ความมืดมีได้อย่างเดียว แต่ของอุทกดาบส อาฬารดาบส ก็ยังได้แบ่งได้สองอย่าง อย่างอาฬารดาบส มีแต่การเกิดความมืออย่างต่อเนื่องไม่มีอะไรคั่นเลย คือโอกกันติ แกก็มืดต่อเนื่องเลย แต่อุทกดาบสมีขณิกะคั่นจึงมีการแว่บรู้ แต่มีความยึดว่าต้องดับ ก็ดับมันได้ก็สำเร็จแบบสายมืดแล้ว ทั้งคู่ดับมืดดำ เป็นกายเดียวกัน
            ส่วนสว่างมีหลายขนาด กายจึงต่างกัน แต่สัญญาว่าเหมือนกัน แต่พวกมือจะมีกายอย่างเดียวกันคือมืด แต่การกำหนดต่างกัน คือรู้ว่ามีการแวบรู้มาสว่างแวบ แล้วเขาก็รีบดับให้มันมืด ส่วนพวกอาภัสรานั้นเป็นพวกสว่างขาว เป็นการเห็นความสว่างเป็นมโนมยอัตตามันก็ไม่เท่ากันหรอก แต่พวกทำให้มืดจะมืดเหมือนกัน แต่พวกมืดจะต่างกันว่ามีแวบสว่างกับพวกไม่มีแวบดับหมดต่อเนื่อง แสงเป็นโฟตอนหรือควันตัม ถ้ามันมีตัวก็เป็นโฟตอนคือมันมีการคั่น  แต่ถ้ามันไม่มีอะไรคั่นมันต่อเนื่องมันก็ไม่มีตัวก็เป็นควันตัม ที่เขาเถียงกันในวิทยาศาตร์ว่าแสงเป็นโฟตอนหรือควันตัม(คนเถียงกันตายไปหลายคนแล้ว) คล้ายกับที่ 8705 เถียงมา โดยตรรกะว่ารูปนามมันก็ต่อเนื่องไม่มีการขาด ความเห็นของเขาเป็นลักษณะโฟตอน ซึ่งธาตุรู้นั้นจะต้องรู้ แต่เขาไปดับให้มันไม่รู้ ก็ได้ระยะหนึ่งเท่านั้น ถ้ายังมีอัตภาพ ยังมี ขันธุ์ ๕ อยู่ ถ้าไม่สลาย จนไปยึดมันก็เป็นรูป  แต่ถ้ารู้มันก็เป็นนาม จะอยู่ในฐานของ เวทนา สัญญา ก็ตาม แต่ผู้สลายตายลงจริงๆ มันจะกลายเป็นผู้ไม่มีรู้ มันจะเป็นรูป สัญญา เวทนา สังขาร ไม่มีแล้วสลายมันก็คือเหลือแต่อุตุนิยาม จนกระทั่งพัฒนาต่อมาเป็นธาตุพีชะมีการปรุงแต่ไม่มีเวทนา ไม่มีเจตนา ไม่มีตัณหา ปรุงแล้วก็จบ ไม่มีมีเวรกรรมต่อไป มันเกิดแล้วตายมันก็สูญ พืชนั้นสูญพันธุ์ง่าย แต่สัตว์นั้นสูญพันธุ์ยากเพราะเป็นสังขารที่มีวิญญาณครอง
            อากาสาวิญญายตนะของชาวฤาษีสร้างภพ อาภัสสรา(ความว่าง สว่างใส รุ่งเรืองชัชวาล) ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อนันโตอากาโสติ แต่ของพุทธ ว่างแบบไม่มีแสง มันว่างอาการว่างจากทุกข์จากสุข ว่างจากอำนาจของความไม่สบาย(อบาย) ถ้าจะว่างกลางๆก็เฉยเด๋อ คนที่ทำได้ก็ได้ บางคนว่างไม่ได้ก็ไม่ได้ แต่ต้องอ่านความว่างในขณะลืมตา ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่นอะไรก็เฉย แต่ความเฉยคือไม่มีอารมณ์ชอบหรือไม่ชอบ ไม่มีอิฏฐารมณ์อนิฏฐารมย์ ไม่ผลักไม่ดูด เป็นมัชฌิมา ลางมัชฌิมานั้นสูงกว่าอุเบกขา มีนิวทรอน มีอะไรเข้ามาก็เป็นกลาง ไม่บวกไม่ลบ ไม่แข็งไม่อ่อน แต่รู้ความจริงตามสัมผัส ก็รู้ตามสัญญามีทั้งรู้เป็นอรูป และเป็นรูป (อรูปที่สำเร็จด้วยสัญญา แต่รูปนั้นสำเร็จด้วยจิตคือมโนมยอัตตา) 
พวกมโนมยอัตตาเวลาปั้นใส จะซาบซึ้งในการสร้างแสงสว่างใสต่างกัน จะปั้นให้เป็นใสแบบนี้ว่าโสดาฯ แบบนี้สกิทาฯ แต่ใสโสดาฯของสองคนก็จะใสไม่เหมือนกัน แบบสว่างจะมีกรรม พักกรรม (แต่ไม่หมดวิบาก) ส่วนพวกใสจิตจะทำงาน มีกรรม แต่ไม่เหมือนกันหรอก เพราะแม้แต่ปรมาณูสองตัวที่เล็กที่สุดก็ยังไม่เท่ากัน อย่างแก๊สแต่ละชนิดก็ไม่เหมือนกัน จนเล็กแยกต่อไม่ได้ เขาก็ยังแยกต่อไปอีก เขาแยกนิวเคลียสได้ แต่เขายังแยกนิวเคลียร์ไม่ได้ ถ้าเขาแยกนิวเคลียสออกเป็นนาโนได้อีก จะมีพลังงานสูงกว่านิวเคลียร์อีก นิวแปลว่าใหม่ เคลียร์แปลว่าสว่างสะอาด มันคือความสว่างแสงไฟอุณหธาตุฝ่ายร้อน ส่วนพวกมืดก็ตรงกันข้าม
สรุปแล้วคนนั่งหลับตาจะสร้างแสงใสต่างกัน กายต่างกัน แต่สัญญาว่าสว่างในโชติช่วงชัชวาล ไป แต่พวกมืดจะเป็นพวกไม่มีพวกดับ สายดับจะไปมีนิพพานอยู่ที่มืดคนเข้าใจว่านิโรธคือความดับ มันหยุด คนเข้าใจได้มากกว่าพวกสว่าง เพราะสายปัญญามันปรุงฟุ้งไปได้มาก เขาเข้าใจว่าปัญญาที่จริงเป็นมโนมยอัตตา เป็นการปั้นส่วนตน ส่วนอรูปนั้นเอาไปให้คนอื่นรู้ด้วยไม่ได้ คุณรู้แต่เอโก ปั้นแสงสว่างเป็นอรูป ก็เป็นส่วนตน ไม่มีใครรู้ได้ด้วย เป็นองค์ประชุมที่สร้างมาเอง แม้จะสร้างตัวตนซ้อนในความไม่มีตัวตน ไปสร้างวิมานเป็นสวรรค์ คนก็ไปติดสภาพปรุงแต่ง เป็นแรดหรู แรดคือแวบๆแป็บๆ คือสายสร้างวิมาน ไม่มีจบ แต่พวกสายมือจะจบหยุดได้ง่ายกว่า จะเฉื่อยช้า แกะแคะไม่ขึ้น
            ในวิโมกข้อสาม ๓. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพอาภัสราพรหม  (ว่าง..ใส.. สว่าง.. แผ่กว้าง) แม้แต่ในระดับปรมาณูก็ยังมีต่างกัน ในนิวเคลียสก็ต่างกัน มันต่างกันน้อยมาก เวลาทะเลาะกันมันจึงทะเลาะกันแรงมาก ระเบิดเลย
            มาสายมืดจะอยู่ในวิญญาณฐีติข้อ ๔ ร้อ ๔ หรื้หรื้นนิวเคลียสก็ต่างกัน มันต่างกันน้อยมาก เวลาทะเลาะกันมันจึงทะเลาะกันแรงมาก ระเบิดเลย
สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพ..สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) ในอุทกดาบสจะให้ดำมืดเป็นความต่อเนื่อง ในอาฬารดาบสกำหนดเนวสัญญานาสัญญายตนะไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าต้องดับ จึงทำให้มืดต่อไปอีก ก็คือมีกายอย่างเดียวกัน วิญญาณเป็นธาตุรู้ต้องออกมารู้ทางทวาร ๖ อย่างเก่า ถ้ายังไม่ปรินิพพาน 
            การเสพจะได้เมื่อมีสัมผัส แต่เมื่อคุณไม่มีทวาร ๕ แล้วเมื่อตายไป คุณมีกิเลสอันไหนอยากได้มากๆ ที่คุณเคยได้สัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ได้เสพ หรือคุณจะได้สัมผัสในฝัน เสพรสแต่ในฝัน ไม่ทำงานทำกรรมกิริยา เสพแต่อยู่ในภพ ถึงเวลากินก็กิน แต่ก็ไม่ใยดีในรสนอกเท่าไหร่ ชอบอยู่กับภพมากกว่า นี่คือสายฤาษีไปดับอย่างเดียวแต่ก็ไปเสพ  อีกพวกไปนึกคิดนึกฝันเพ้อบ้าบอ แต่เป็นไปไม่ได้ คือสายฟุ้ง ในพวกเราจะเป็นสายฟุ้งมากกว่า
            วิญญาณคือธาตุรู้ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด คือการปรุงแต่ง ปรุงเป็นวิมานได้ไม่สิ้นสุด แต่สายดับสายกิณหาจะหยุดได้ พวกปรุงฟุ้งจะเสียเวลาไปมาก คุณปรุงเป็นรูปก็ยังออกมาเป็นสภาพภายนอกตัวตนได้ แต่ถ้าปรุงอรูปนั้นไปแบ่งใครไม่ได้เลย มันจะสำเร็จด้วยสัญญา ไม่มีสภาวะมหาภูตรูปเกี่ยวข้องเลย ไม่เป็นปัญญา ไม่ให้คนอื่นเห็นหรือสัมผัสได้ จมกับอารมณ์ตัวคนเดียว ไม่มีอายตนะต่อข้างนอกเลย
            ในสภาพวิญญาณคือธาตุรู้ พระพุทธเจ้าว่าวิญญาณจะเกิดได้ให้ยืนยันในขณะมีเหตุปัจจัย คือต้องมีผัสสะ ๓ คือมีทวาร ตาหูจมูกลิ้นกายให้ แต่อยู่ข้างในมีธรรมารมณ์(ไม่มีผัสสะ มีแต่จิตที่ทรงไว้แล้วปรุงเป็นอารมณ์เอง) อยู่ภพในเรียกว่า มน หรือจิต แต่ออกมาข้างนอกรู้ภายนอก เรียกว่า วิญญาณ ซึ่งคนเลยเข้าใจเลยเถิดว่าวิญญาณนั้นล่องลอยมีตัวตน  ที่จริงแล้ววิญญาณให้ศึกษาทางทวาร ๕ จะดับวิญญาณต้องตอนเป็น เมื่อมีการปรุงออกมาข้างนอกเรียกว่า กายสังขาร แต่จิตสังขารนั้นอยู่แต่ในภายใน เมื่อมีสัมผัสภายนอกแล้วก็มีวิญญาณเกิดในภายใน แยกเป็นจิตเจตสิกต่างๆมีอาการสุขทุกข์อุเบกขา หรือแจกจิตเจตสิกออกไปได้มากมายจิตจึงมีมากดวง พวกอภิธรรมประมวลได้มากมาย แต่ที่จริงละเอียดได้มากกว่านี้อีก แต่แค่นี้ก็มากแล้ว ให้ศึกษาแค่เวทนา ๑๐๘ ก็เหลือกินแล้ว
            วิญญาณสะอาดกับวิญญาณอยู่ว่างๆ ในศาสนาพุทธให้ตรวจว่าสว่างว่างจากสิ่งที่พาชั่วพาเลว มีแต่ความสว่างสะอาดมีแต่กุศล ใช้ทำงานที่ดี แต่พวกมโนมยอัตตาจะปรุงไปในจิตเราคนเดียว ถ้าไม่บอกคนอื่นก็จะรู้คนเดียว แต่พอบอกไปก็กิระดั่งได้ยินมา ก็ปันกันต่อไป สืบต่อกันไปบอกกันไปก็ปรุงกันไป จนเป็นสำนักที่ปั้นสวรรค์หลอกกันไปมากมาย แต่ไม่มีจริงเลยในโลก เช่นคนเขาปั้นเรื่องสัตว์หิมพานต์ สารพัดสัตว์จะมีในตำนานมากมาย แต่ไม่มีตัวตนหรอก เช่นเดียวกับที่ปั้นสัตว์นรก สัตว์สวรรค์ ก็จิตวิญญาณไม่มีรูปร่างพระพุทธเจ้าว่า คุณจะเชื่อนักเทวนิยมหรือเชื่อพระพุทธเจ้า แต่แบบเทวนิยมนั้นปั้นยากมากนะ อย่างฤาษีลิงดำปั้นมากมาย เก่งเรื่องปั้น สามารถเหาะได้ เหาะเอาธรรมมาสไปได้ด้วย แล้วก็ปั้นสวรรค์วิมานได้เยอะ มีอรูปที่สำเร็จได้ด้วยสัญญาของตนเอง เป็นมโนมยอัตตา
            ความสว่างในแบบพุทธ อรูปฌานของพุทธคือรู้ความจริงตามความเป็นจริงตามเหตุปัจจัยที่มาผัสสะ ถ้าไม่ประสาทหูตาจมูกลิ้นกายเสีย คุณก็จะสัมผัสแล้วรู้ร่วมกันได้หมด เพราะกำหนดสมมุติร่วมกันได้ ที่ว่าว่างคือว่างจากเหตุปัจจัยที่เรียกว่าอกุศล แต่ไม่ได้ว่างจากสิ่งที่เจริญประโยชน์คุณค่าความดีงาม วิญญาณจึงสะอาดเป็นพระพรหม เทวาดา คือจิตสูงที่สะอาดจากอกุศลทั้งหมด ปรุงแต่งเก่งด้วยมีสมรรถนะสามารถ มีจิตเมตตาจริง ปรารถนาเห็นคนพ้นทุกข์ มีประโยชน์ต่อคนอื่นอย่างมีเมตตา มีความว่าง สามารถอนุโลม อย่าไปตกผลึกเป็นอุพเพงคาปีติ ให้ไปถึงขั้นมันร้อนแรง ดีใจแรงเกิน จนต้องอุปาทานขนาดไว้ว่าต้องถึงขนาดนี้จึงจะสมอุปาทาน ต้องสวยขนาดนี้ แดงขนาดนี้ จึงจะพอ
            สรุปแล้วความใสว่าง วิญญาณสะอาดให้ตรวจวิญญาณสะอาดไม่ได้อยู่เฉยๆไม่ใช่อยู่ในภพ ไม่ใช่รับลูกไม่ได้ แต่คุณล้างกรรมที่บำเรอราคะโทสะโมหะ แต่ถ้าคุณมีก็มีอยู่ในของคุณเองก็เป็นอนาคามี ถ้าเป็นอรหันต์ก็ไม่สุขทุกข์ แต่ถ้าเป็นระดับอื่นก็ต้องสุขทุกข์ตามทวารภายนอก ในอนาคามียังมีทวาร ๕ ทำงานร่วมกับใจ แต่ก็อวจรอยู่ มีใจรู้พร้อมรับวิถี แต่มันวิสังขารไม่มีกิเลสร่วมปรุงแล้ว ก็ไม่เอาแล้วรสกาม มันแรงไป อนาคามีจะมีแค่นี้สันโดษแล้วรับผิดชอบตัวเอง แต่มันมีเชื้อมันโตได้นะ ในกิเลสที่เหลือถ้าไม่ทำให้เที่ยงแท้ถาวร ในเวลาวัฏฏะที่ยาวนาน ล้านๆๆปีมันก็ไม่ออกฤทธิ์ แต่มันก็สลายได้ เพราะเมื่อร่างกายสลายเป็นดินน้ำไฟลมแล้ว กว่ามันจะไปปรุงแต่งจนเป็นตัวตนได้อีกก็ต้องสร้างอารมณ์สมมุติใหม่อีก มันจำไม่ได้หรอก เพราะมันนานมาก
            ในจิตที่สะอาดมีการลืมตากำหนดหมายรู้อะไรควรไม่ควรกุศลอกุศล แล้วก็ร่วมปรุงไปกับสังคมอนุโลม สอนคนให้เจริญได้ แล้วทุกวันนี้สังคมเขาถือมาก เช่นเรื่องนุ่งผ้า ถ้าไม่นุ่งไม่ได้ แต่สมัยดึกดำบรรพ์นั้นไม่นุ่งผ้าเลยก็ไม่อยู่กัน แต่มันเดี๋ยวนี้ถือ กามก็ไม่เกิด ไม่ชอบไม่ชัง ไม่ผลักไม่ดูด มันก็ธรรมดา ยกตัวอย่างลองเดาตาม ม้ามันไม่ถือว่ากลิ่นตดเป็นของชอบหรือไม่ชอบ ม้าจะตดมันก็ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะมันไม่ถือ แต่คนตดมันก็ถือ ม้าจะถือสา กลิ่นตดไม่มีพิษนะ แต่แก๊สหลายอย่างมีพิษที่ปรุงกันมาให้ดมนะ
            โปรดติดตามฉบับต่อไป........สิ่งที่พูดเป็นไปได้ ไม่ใช่วิมานที่สำเร็จด้วยสัญญาของตนเอง ...จบ

1 ความคิดเห็น:

ชบาแดงสีเหลือง กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ