วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

560227_ทำวัตรเช้า"ธรรมที่เป็นพุทธ" ตอนที่ ๓


ทำวัตรเช้างานพุทธาฯครั้งที่ ๓๗ เรื่อง ธรรมที่เป็นพุทธ ตอนที่ ๓ 
โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ณ พุทธสถานศาลีอโศก จ.นครสวรรค์ เมื่อวันพุธที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๖
ลิงค์ mp3 ประจำวันที่ ๒๗ ก.พ. ดาวน์โหลดได้ที่นี่ http://bit.ly/13K6qqH 

ความสงบของพุทธนั้นสงบอย่างมีปัญญาแคล่วคล่องสมรรถนะแข็งแรง มีปัญญาพละ วิริยะพละ อนวัชชะพละ สังคหะพละ ไม่ใช่ว่าสงบอย่างดับทวาร เลยขาดเนื้อหาสาระที่ถูกต้องไป ก็เกรงใจที่เขาอธิบายพยัญชนะผิดจากสภาวะไปไกล จนพ่อครูเห็นได้ว่ากลุ่มหมู่ของผู้ที่ปฏิบัติธรรมเป็นพุทธปัจจุบัน เสร็จแล้วก็ได้มรรคผล ทำให้พฤติกรรมของชีวิตปรับเปลี่ยนอย่างไร ดำเนินหรืออวจรไปอย่างไร? มันก็เป็นเครื่องแสดงภาวะจริง พฤติภาพจริงที่เป็นปกติที่เป็นค่ารวมก็ดูได้อ่านออกเข้าใจ เมื่อมารวมเป็นกลุ่มหมู่ก็แสดงเป็นภาพรวม ใครมาสัมผัสอย่างชาวอโศกเขามาสัมผัสก็จะรู้ เมื่อมารวมมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในอโศกองค์รวม ที่มีสนามแม่เหล็กที่มีพลังงานกายจาวาใจ พลังทุกอย่างของรูป และนาม ทั้งมหาภูตรูป และอุปาทายรูป ของนามธรรม ทั้งเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
คลิปทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกครั้งที่ ๓๗ ณ ศาลีอโศก พุธ ๒๗ ก.พ. ๒๕๕๖ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง เริ่ม 04:05 น.ตอน.. "การทำใจในใจด้วยภาวะการเกิด"

ในวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าท่านแจกไว้ในเรื่องความเกิดเป็น ๕ คำ มีคำว่า อภินิพพัตติ แปลว่า ความเกิดจำเพาะ เป็นการเกิดอย่างที่ท่านตรัสรู้ถึงอภิธรรม มันเป็นการเกิดอย่างยิ่ง อย่างสำคัญ และเป็นการตายอย่างสำคัญที่สุดเป็นอตัมยตา แม้แต่คำต่อมาบอกว่า “ภพ” ซึ่งมีทั้งที่เป็นภพ ๓ หรือตัณหาก็มีตัณหา ๓ แต่ท่านก็ระบุไปว่าเป็น เวทนา ๖ ซึ่งเป็นข้อสังเกตุ ที่เป็นเนื้อแท้ที่ชี้บ่งว่าควรเอาอะไรมาใช้ในปฏิจจสมุปบาท
ตัณหาก็ ๖ ผัสสะก็ ๖ เวทนาก็ ๖ ทั้งที่ท่านจะแจกเป็น ๑๐๘ ก็ได้ และในนามรูปท่านก็แจกให้ชัดเจน ซึ่งรูปก็คือสิ่งที่ถูกสัมผัสรู้ ส่วนนาม ก็คือเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เราก็ต้องเห็นความสำคัญในจุดนี้ ที่พระพุทธเจ้าเน้นในสูตรนี้  จิตเจตสิกถ้าไม่กำหนดรู้ก็ไม่สามารถมนสิการได้
สังขารท่านก็แยกเป็น ๓ อย่างคือ  กายสังขาร- จิตสังขาร- วจีสังขาร จุดเน้นสำคัญอยู่ที่วจีสังขาร คือองค์รวมของการปรุงแต่ง เป็นคำพูดก็ได้ แต่ยังอยู่ภายใน ไม่ออกมาเป็นวจีกรรม ซึ่งคนเราจะมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ในภาคต่อจากวิภังคสูตรก็เป็นปฏิปทาสูตร ก็ยืนยันให้เห็นว่ามิจฉาฯกับสัมมาฯ และในวิปัสสีสูตรท่านก็แจกให้รู้ว่าสิ่งทีควรมีคืออะไร สิ่งที่ควรไม่มีคืออะไร และการมนสิการ คือการทำใจในใจ คือทำที่ใจ พ่อครูมาแปล เมื่อรวมกับคำว่าโยนิ คือคำว่า โยนิโสมนสิการ คือให้มันละเอียดลออ แยบคาย ครบครัน ซึ่งจะสัมมาทิฏฐิจะต้องเข้าใจคำว่า โยนิโสมนสิการ ต้องเห็นความสำคัญอย่างมาก อย่างในปรโตโฆษะและโยนิโสมนสิการที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ  คือเราต้องฟังคนที่อธิบายธรรมให้ทำใจในใจอย่างไรให้เป็นสัมมาทิฏฐิ และทำอย่างไรเป็นสัมมาปฏิบปทา ในการปฏิบัติให้ลงไปถึงที่เกิด ที่ตั้งของกิเลส
                ท่านเน้นในปฏิจจสมุปบาทว่าการปฏิบัติให้สัมมาให้ลงไปถึงที่เกิดนั้น ตัณหาจะเกิดต้องมีผัสสะ ซึ่งมี ๖ อย่างทั้งนั้นในปฏิจจสมุปบาท แม้อายตนะก็ ๖ วิญญาณ ก็๖ ท่านก็แจกให้เข้าใจโดยเฉพาะการแจกนามรูป ท่านให้รู้นาม คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คนก็งงว่า ผัสสะทำไม่เป็นนาม เพราะว่าถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่เกิดนามจริง ไม่มีองค์รวมเป็นกาเยนะ จะไม่มีกาเยนะสัมมัปปัญญา คือปัญญาที่เป็นสัมมา ต้องมีองค์ประชุมที่เป็นกายนอกกายใน ในเวทนาก็แจกได้เป็น ๑๐๘   มนสิการแปลได้อีกว่าแดนเกิด โยนิโสนี้แปลว่าแยบคายหรือถ่องแท้
                ความเสื่อมของภิกษุผู้แสวงหามี
ไปตั้งใจเข้าใจว่าอาจารย์ต้องอยู่ที่ป่าเป็นความเสื่อมของผู้แสวงหาอันผิดๆ
1.             ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ ในพลความเก็บผลไม้กิน  อยู่ในจุลศีล ท่านไม่ให้พรากพืชคาม ตอนนั้นยังไม่ออกวินัยมีแต่ศีล
2.             ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
ในข้อนี้ไม่มีในศีล
3.             สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่ 
คือการทำให้มีควัน ใช้กำยาน ข้าวสาร เป็นต้น ออกนอกรีต มีจุดธูปเทียนบูชา เป็นองค์ประกอบของพิธีกรรม เขาเป็นกันทั้งโลกในชาวพุทธทั้งโลก ซึ่งศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าท่านสร้างศาสนามาท่ามกลางเทวนิยมที่เขายึดถือกันทั่วโลก และยืนยาวมาถึงปัจจุบัน
ในตัณหาสูตรมี
๑. การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง
๒. การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
๓. ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
๔. การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ
ถ้าคุณเชื่อถือสัทธรรมอย่างไรตามที่ศรัทธาก็จะทำใจในใจอย่างนั้น(คือโยนิโสมนสิการ) ซึ่งคำว่าโยนิโสมนสิการไม่มีในปฏิจจสมุปบาท  การทำใจในใจต้องมีผัสสะ ที่เป็นคำที่อยู่ในนามที่อยู่ในปฏิจจสมุปบาท
เจตนา มีอยู่ในอาหาร ๔
๑.            กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .
๒.           ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .
๓.           มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .
๔.           วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ  คือ   กำหนดรู้จักแยกแยะนาม-รูป   แล้วกำจัดเฉพาะอาสวะให้จบสิ้น)
อาหารก็มียืนยันในอาหาร ๔ อาหารเป็นเครื่องอาศัยที่จะมีชีวิตอยู่ และชาติที่จะเกิดจากผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีอะไรเกิด แต่ก็มีในใจอย่างเดียวก็เกิดได้ แต่ไม่ครบ สุรภาโว คือภาวะ(ความจริง) ที่ปรากฏ ไม่ครบทั้งนอกและใน ไม่ครบอาการ ๓๒ เมื่อมาเป็นคนได้ตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีกายยาววา หนาคืบกว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ ถือว่าเป็นที่ๆครบในการปฏิบัติ ถ้าเข้าใจไม่ครบก็ปฏิบัติได้ไม่สมบูรณ์
ทั่วไปเขาเข้าใจว่าแม้จะอธิบายอภิธรรมเก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่นั่งสมาธิไม่เข้าป่าปฏิบัติก็ยังไม่แน่ แต่แม้ยังไม่ได้เรียนบัญญัติอะไรบวชแล้วไปออกป่าเลยอีก ๑๐ ปีก็ออกมาได้ ถ้าไม่ตายก่อน ไม่ถูกเสือกัดกินก่อน ก็จะมีนิทานเล่าว่าได้ต่อสู้อดทน กับสิ่งต่างๆ แต่ไม่มีในพระไตรฯว่าได้ต่อสู้กับอะไรในป่า แต่ในพระไตรฯกลับบอกว่า ไปแสวงหาอาจารย์ในป่านั้นเป็นความเห็นผิดต่างหาก ที่เข้าป่าแล้วตกเหวตายไปก็มาก ไม่มีประวัติพวกนี้เลยในพระไตรฯ มีแต่บอกว่าไปบำเรอไฟสร้างวิหาร สร้างเรือนไฟมีประตูสี่ด้าน ซึ่งสมัยโบราณไม่ใช่เล็กๆมีประตูสี่ด้าน อยู่ในทางสี่แพร่ง ท่านอธิบายให้เห็นว่าไปสร้างอะไรใหญ่โตเพื่อล่าบริวารทั้ง ๔ ทิศ แต่ศาสนาพุทธไม่ได้เพื่อล่าลาภยศ ล่าบริวารแต่อย่างใด ซึ่งมันออกนอกรีต ไปเป็นอาจารย์ในป่า
เป็นการปฏิบัติที่ไม่สัมมาทิฏฐิ จึงไม่สัมมาปฏิบัติก็ทำใจในใจไม่ถูกต้อง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้วิญญาณใน ๖ ทวาร ที่จะศึกษาวิญญาณได้ และในวิญญาณก็ต้องรู้ทั้ง เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
จนกว่าจะรู้จักชาติ คือการเกิดในนัยต่างๆก็จะขยายคำว่า “ชาติ” ให้เห็นพอสมควร
ชาติ ๕ แบบ
๑. ชาติ = การเกิดขึ้นเป็นประเทศ ... ชาติรัฐชาติประเทศŽ
๒. ชาติ = การเกิดของความเป็นตระกูล ... ชาติพันธุ์, ชาติตระกูล, สกุลรุนชาติŽ
๓. ชาติ = ชีวิตที่เกิด-ตายŽทางร่างกาย ซึ่งเป็นการเวียนวนของสัตวโลก แต่ละชาติๆ การเกิด-การตายชนิดนี้ ต่างก็รู้ก็เข้าใจกันทั่วไปดีอยู่แล้ว มีแต่ว่าร่างกายจะทำให้มันเกิดอย่างเรียบร้อย ไม่เจ็บไม่ป่วย สุดท้ายมันก็ตายก็เลิกกันไปหนึ่งชาติ
๔. ชาติ = การเกิดของจิตในจิต มีการเกิด-
มีการตายของจิตในจิต เรียกว่า โอปปาติกโยนิ เป็น ปรมัตถธรรม ชาติอันนี้แหละคือความจริงอันยิ่งใหญ่ที่เราต้องเรียนรู้กันเป็นการตาย การเกิดของสัตว์ทางจิตใจ ท่านมีภาษาเรียกว่า การเกิดของโอปปาติกะ(โอปปาติกโยนิ หมายถึง สัตว์ทางวิญญาณ หรือทางจิตใจ ซึ่งเป็นความรู้พิเศษยิ่งของศาสนาพุทธโดยเฉพาะ)
๕. ชาติ = การเกิดในสภาพลิงลมอมข้าวพองŽ
                คือ การเกิดŽ(ชาติ)ในขณะผู้เป็นอาริยบุคคลที่มีปัจเจกภูมิŽของตนแล้ว ภาวะลิงลมอมข้าวพองŽ
คือการเกิดŽมาแล้วปัจจเจกภูมิของตนŽยังไม่แสดงตัว จึงเป็นคนเหมือนไม่มีปัจเจกภูมิในของตนเองŽเลย จะเมาไปตามโลก จะถูกสังคมครอบงำให้หลงไปตามโลกีย์ชั่วระยะหนึ่ง เฉพาะช่วงต้นของชีวิตที่ปัจเจกภูมิของตนยังไม่ปรากฏ การเกิดช่วงนี้จึงเป็นการใช้หนี้วิบากของตนในช่วงที่ภูมิปัจเจกของตนŽ ยังไม่ตื่นฟื้นขึ้นเต็มสภาพ ก็จะถูกครอบงำไปตามกระแสโลก ชั่วระยะหนึ่ง  แล้วแต่หนี้ และวิบากของแต่ละท่านตามบารมีตน  เมื่อฟื้นตื่นสู่ปัจเจกภูมิหรือสยังอภิญญาŽของตน จึงจะหายเมาจากที่หลงไปตามโลกีย์ ก็พ้นจากภาวะลิงลมอมข้าวพองŽ แม้แต่สยัมภู ก็จะมีภาวะลิงลมอมข้าวพองŽนี้จนกว่าจะถึงเวลาจึงจะเข้าสู่ภูมิบารมี
                เช่นพระพุทธเจ้าท่านถูกพระราชบิดามอมเมายิ่งกว่านกในกรง มา ๒๙ ปี แต่เพราะไม่รู้ว่าการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างไรก็ปฏิบัติแม้บวชก็ออกปฏิบัติผิดๆไปตามเขา ไปอัตกิลมถานุโยคอีก ๖ ปี กว่าจะตรัสรู้ก็อายุถึง ๓๕ ปี แต่ก็ถึงคราวถึงเวลา ท่านมีเหตุปัจจัยที่ท่านจะได้ท่านก็ไปนั่งระลึกรู้ชาติเก่าๆ เป็นสมบัติเก่า ในสัญญาที่เก็บไว้
                ธรรมดาเราที่ไม่มีสัญญาเก็บไว้พอมาเจอกันก็ไม่รู้ว่าเรามีความเกี่ยวข้องอะไรกัน แม้มีสัญญาอยู่แต่ระลึกไม่ได้ พอเจอกันเราก็ระลึกไม่ได้ เอาปัจจุบันก็ตาม เราเจอใครแล้วไม่รู้จัก พอเขาทักว่าเคยพบเราที่นั่นที่นี่ เราก็เริ่มฟื้นสัญญามารู้ได้ก็มีเป็นต้น
                พระพุทธเจ้าจำได้แม้เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นความจำในจิต ท่านระลึกได้ว่าท่านได้ปฏิบัติมาอย่างนี้ ระลึกไปถึงว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆท่านได้สอนอย่างนั้นอย่างนี้ มีอัครสาวกที่เคยมีบุญบารมีร่วมกัน พออัครสาวกเดินมาก็บอกว่านี่คืออัครสาวก ทั้งที่ชาตินั้นยังไม่เคยเจอกันมาก่อน เป็นความจำของท่าน
                ความจำที่ไม่ใช่ของจริงก็มี แต่ความจริงที่จะจริงต้องเกิดขณะผัสสะในเดี๋ยวนี้ คนที่จะมีผัสสะกระทบในตน เป็นของตนคือมีปัจจัตตัง เป็นผัสสะปัจจุบัน คือสภาพที่มันได้รู้กระทบสัมผัสเกี่ยวข้องกับตน (อัตตะ กับ ปัจจัตตะ) เป็นตนที่จะต้องได้คือได้ วิทิตัพโพ วิญญูหีติ คือได้ความรู้ยิ่ง เข้าไปในวิญญาณ ได้ผลเป็นสัมมาผลเป็นมรรคผล ก็เป็นปัจจัตตังที่เป็นเวทิตัพโพวิญญูหีติ คุณก็ได้สมบูรณ์เต็มหน่วยของผลธรรม ได้กี่หน่วยก็เป็นปัจเจกเฉพาะตนใครทำใครได้ ทำชั่วก็ได้บาปเป็นปัจเจก แต่ไม่ใช่เวทิตัพโพ ไม่ใช่ความรู้ที่ควรบันทึกในวิญญาณ ลืมได้ก็ลืมไปพวกอกุศล ลืมไปคุณไม่เลวหรอก แต่กุศลคุณอย่าไปลืม
                เมื่อเป็นปัจเจกก็เป็นปัจเจกภูมิ สั่งสมไปสยังอภิญญา  คำว่า สยังคือของตนเอง ก็เป็น เอง ซึ่งในภาษาไทยมีสองคำ คำว่า เอ็ง ก็คือ เขา แต่คำว่าเอง ก็คือเรา  
                ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ ๑๐ ยืนยันได้ว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)
                ที่สูงกว่าสยังอภิญญา คือปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ แต่ยังไม่ถึงขั้นสยัมภู  คำว่าปัจเจกมีสองคำ คือปัจเจกที่ยังไม่ถึงสยังอภิญญา และปัจเจกที่ยังไม่ถึงขั้นสยัมภู อันนี้คือท่านมีภูมิเท่ากับสัมมาสัมพุทธเข้าแต่ท่านยังไม่ถึงขั้นสร้างศาสนา ซึ่งเขาแปลว่าปัจเจกสัมพุทธะนั้นสอนคนไม่ได้ แต่ที่จริงแม้พระโสดาบันก็สอนคนได้แล้ว แต่แปลอย่างไรว่า เป็นถึงปัจเจกพุทธเจ้าแล้วกลับจะสอนคนไม่เป็น อย่างนั้นเป็นการตีความที่ไร้เหตุผล ตีความผิด
                ถ้าเข้าใจสยังอภิญญาไม่ได้และไม่เชื่อว่า ผู้ที่มีสยังอภิญญามีจริง ถ้าพ่อครูมีสยังภิญญา และก็ประกาศไป ประกาศโลกนี้โลกหน้า ขยายความอิมัญ จ โลกัง และปรัญ จ โลกัง พ่อครูมาอธิบายให้เกิดโลกใหม่ตั้งแต่โสดาบัน ซึ่งเป็นโลกุตรภูมิ มี ๙ ขั้น 
                เริ่มต้นรู้จิตเจตสิก แยกเวทนา แยกจิตเจตสิกอย่างนี้ พ่อครูก็อธิบายตามสยังอภิญญา มั่นใจว่าถูกต้อง และระวังในเรื่องความผิดพลาดเพราะมันเป็นบาป โดยเฉพาะผิดในเรื่องพุทธธรรมของพุทธเจ้า พ่อครูไม่ต้องการให้ผิด มันเป็นกรรมเป็นบาป ในเรื่องอนุตริมนุสธรรม มันเป็นอนันตริยกรรม และที่พ่อครูจะพูดไม่ให้ผิดนั้นมีมาก และไม่มีสิทธิให้ใครเชื่อด้วย เป็นสิทธิของแต่ละคน บังคับไม่ได้ พ่อครูไม่เก่งในการให้คุณล่าลาภยศ ที่ให้พวกคุณมานี่ไม่ได้ใช้คารมล่อ แต่พูดสัจจะผ่าให้รู้ความจริง ให้แรงให้ถึง
                ภาวะลิงลมอมข้าวพอง เป็นทวิชาติ คือจมอยู่ในภาวะลิงลมอมข้าวพอง ไปตามวิบาก ซึ่งจะไม่รู้ทันทีไหม ก็ไม่ง่าย พระพุทธเจ้าท่านก็มีบารมีมีวิธีของท่าน ของพ่อครูก็มีภาวะลิงลมอมข้าวพองและรู้ไปตามลำดับวิธีของตนเอง ได้มาก็มั่นใจว่าอย่างนี้ถูกต้อง ไม่เหมือนแน่กับท่านที่ได้รู้ตกทอดกันมานาน ก็เห็นใจเขา แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านในวันสุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าเหลือวิธีสุดท้ายคือการระลึกชาติ แล้วก็เห็นความจริง โดยไม่มีตำราไหนบอก แต่พ่อครูยังดีมีตำราพระไตรฯอยู่ ก็อ่านแล้วก็เข้าใจต่างจากที่เขาแปลมา ที่ใช้คือพระไตรฯฉบับหลวง มีคณะสงฆ์ที่รวมกันแปล ในปี ๒๕๐๐ สมัยจอมพลป. ซึ่งพยายามไม่ให้ผิด จะมีพระอรหันต์หรือไม่ในการสังคายนาก็ไม่รู้ได้ ก็แปลมาจากภาษาบาลี ก็ใช้อันนี้อ้างอิง
                อย่างในปฏิจจสมุปบาทก็อาศัยที่แปลจากท่านที่ทำมาก่อน และอาศัยภูมิตนที่มี พยายามไม่ให้ผิด พ่อครูไม่กล้าทำผิดทำบาป ซึ่งเป็นทรัพย์แท้  จะไม่สะสมบาป จะสั่งสมแต่สิ่งดี
                โย ธัมมัง ปัสสติ โส มัง ปัสสติ คือ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต หรือโย ธัมมัง ปัสสติ โส  ปฏิจจสมุปาทังปัสสติ ..........จบ......

ไม่มีความคิดเห็น: