รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อครูและอ.กฤษฎา เมื่อวันที่ ๒๕ มี.ค.๒๕๕๖
เรื่อง อภิสังขารชำระจิตสันดานสู่นิพพานพุทธ
เรื่อง อภิสังขารชำระจิตสันดานสู่นิพพานพุทธ
อ.กฤษฎา
เปิดรายการโดยการสไกป์จากสันติอโศก เกริ่นกล่าวถึงในรอบสัปดาห์ ว่าพ่อครูได้อรรถาธิบายในเรื่องของสังขารที่อวิชชากับ
สังขารที่วิชชา นั้นมีความต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่าคนปกติเกิดมาด้วยอวิชชา
แล้วก็มีการสังขาร
คนไม่ได้ศึกษาสังขารก็แยกไม่ออกว่าอันไหนสังขารด้วยอวิชชากับวิชชา
อันไหนสังขารอย่างธรรมดา อันไหนสังขารอย่างอภิสังขาร หรือแยกสังขาร ๓ ไม่ออก
คลิปรายการ เรียนอิสระฯ ณ บ้านราชฯ จั. ๒๕ มี.ค. ๒๕๕๖ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะโรง
เริ่ม 18:04 น. ตอน.. "อภิสังขารชำระจิตสันดานสู่นิพพานพุทธ"
อ.กฤษฎา
ว่าคนปกติไม่รู้รายละเอียดของการปฏิบัติ ในการสังขาร ที่มีอวิชชาเป็นตัวเริ่มต้น และจะมีกลยุทธหรือวิธีการปฏิบัติอย่างไร
ที่พ่อครูได้กล่าวถึงอวิชชาสูตรเมื่อวานนี้ ที่สอนถึงอาหารของวิชชาและอวิชชาว่ามีต้นเหตุจากการคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์หรือไม่?
พ่อครู.....ตอนนี้ได้อธิบายธรรมะแบบร้อยมาลัย
คนที่มีสภาวะจะเข้าใจดี ส่วนผู้ไม่มีสภาวะนั้นก็ต้องเห็นใจว่าคงจะฟังไม่เข้าใจ แต่พ่อครูต้องทำรายละเอียดให้เพิ่มขึ้นเพราะอายุปูนนี้แล้ว
ก็พยายามจะลงรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีคุณ
0850556xxx ผมอยากไปฝึกดำน้าที่แม่น้ามูล
จะได้ดำน้ำเก่งเหมือนพ่อท่าน
0850556xxx พท.รู้ทุกอย่างเว้นธรรมะพระพุทธเจ้า
0828131xxx จะสอนธรรมแค่การท่องจำ
รู้ไม่จริงไม่พิสูจน์โกหกมดเท็ดแสงอรุ่นไม่มาสุริยาไม่มีโลกไหนโลกนี้คุณเดาผิดแล้วอายชาวคีโม
ฮาๆ
0850556xxx ถ้าไม่ใช่วิญญานแล่นไปท่องเที่ยวไปแล้วมันคืออีหยังทิ่แล่นโปท่องเที่ยวไป
ก็เห็นใจเขาที่ว่าพ่อครูดำน้ำ หาว่าพ่อครูไม่รู้ธรรมะพระพุทธเจ้า
พ่อครูก็ไม่ถือสาเขา เขาไม่รู้เรื่องจริงๆ เห็นใจเขา เขาจึงว่าเราดำน้ำไป
แต่ก็ดีเขาก็ยังอุตส่าห์ตามฟัง ก็ดีช่วยตรวจสอบ ก็แจ้งมาอย่างคุณ 8705 ก็หายเงียบไปเลย มีคุณ 0556 ก็โผล่มาสองสามข้อความ
สำหรับผู้ที่ท้วงติงมาก็ขออภัย
ไม่ได้หน้าด้านหน้าทน ก็จำเป็นต้องอธิบายต่อ มั่นใจว่าไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย
แต่มั่นใจว่าอยู่ในทำนองคลองธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ถ้าผู้มีปฏิภาณปัญญาจะเข้าใจ
เขาอุตส่าห์ท้วงมาเป็นสิ่งแสดงออกว่า
ถ้าอย่างหนึ่งถูก อีกอย่างหนึ่งต้องผิด ถ้ามีคนทักท้วงมามาก ก็น่าจะเป็นเรื่องผิด
บางคนเขามีปฏิภาณว่าสิ่งที่พ่อครูพูดนั้นผิด แต่เขาไม่กล้าท้วง แต่พ่อครูก็ได้เอาหลักฐานมาอ้างอิงตลอด
และพ่อครูก็ว่าเขาแปลมาผิดอีก เขาก็ยิ่งว่าพ่อครูแปลเอาเอง แต่ก็ไม่ได้ท้อถอย
ขอตั้งใจเจตนาอธิบายต่อ
พ่อครูจะได้อธิบายต่ออีก ในเรื่องของ กาย
"สังขาร "จึงคือ การประชุมของสภาวะที่ปรุงแต่งกันขึ้นมา
แล้วก็มีอำนาจ มีบทบาท ออกฤทธิ์แรงจัดแจงความเป็นคน
แล้วก็มีพฤติกรรมเกิดขึ้นในสังคม เป็นพฤติภาพในโลก
อาตมาต้องการสำทับย้ำคำว่า
"กาย" ซึ่งเป็น "องค์ประชุม" ที่ต้องเข้าใจในการปฏิบัติธรรม ว่า เมื่อท่านหมายถึง
" กาย " ที่ รวมทั้งภายนอก-รวมทั้งภายใน ไม่ได้ขาดการเชื่อมต่อกันอยู่นั่นแหละที่เรียกว่า "กาย "คือ องค์ประชุมของรูปของนาม
ทั้งจากภายนอก ต่อเนื่องเข้าไปสู่ภายใน ก็รับรู้ติดต่อกันทำงานร่วมกันอยู่
เช่น
"อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทธารูปานิ ปัสสติ
" (วิโมกข์ ข้อที่ ๒) ซึ่งอาตมาขอให้ความหมายว่า
ผู้ที่ "เห็น
"(ปัสสติ)ด้วยการ "สัมผัส "ภาวะจริง เห็นทั้งรูปทั้งหลายภายนอก
และเห็นทั้งรูปทั้งหลายภายใน แล้วลึกซึ้งเข้าไปเห็นทั้งอรูปภายในไปทั้งหมด ด้วย
"สัญญา " คือ ความรู้ที่สามารถกำหนดหมายสัมผัสรู้ภาวะรูปทั้งปวง
ตลอดไปจนถึงภาวะอรูปทั้งปวงนั้นๆได้จริง โดยตัวเอง(เอโก) ของตนเอง ในตนเอง
สำเร็จเอง(เอโก)
"รูป"หรือ"อรูป"คือ
สิ่งที่ถูกรู้ ด้วย
"ปัญญา"หรือ "ญาณ"ที่แท้คือ "วิชชา"
ดังนั้น แม้จะเป็น
"นามธรม"ที่ประชุมกันเป็นหมู่เป็นกองขึ้น แล้วเรียกว่า "นามกาย"
ก็เป็น "รูป" คือ เป็น "รูปของนามธรรม"นั้นๆ
เพราะอยู่ในภาวะที่ "ถูกรู้"ไง
ที่บาลีว่า "อิเธกัจโจ
ปุคฺคโล อัฏฐ วิโมกเข กาเยน ผุสิตฺวา วิหรติ ปัญญาย จัสส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา
โหนฺติ"
ท่านแปลไว้ว่า "บุคคลบางคนในโลกนี้
ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่
ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา"
(พระไตรปิฎก เล่ม ๓๖ ข้อ ๑๕๑)
คำว่า ด้วยกาย
ในที่นี้ ยืนยันให้เห็นชัด ว่าเป็นคำสำคัญที่จะละเลยไม่ได้ และอีกคำคือ"ถูกต้อง"หรือ"สัมผัส"(ผุสิต)ที่เป็นตัวชี้บ่งว่า
จะเป็น"ความจริง"ที่เรียกว่า"สัจธรรม"
ต้องมี"สัมผัสภาวะนั้นอยู่หลัดๆ"แม้จะเป็น
"นามธรรม"หรือ
"นิโรธ"
ดังนั้น สังขารเกิด เพราะอวิชชา
เป็นปัจจัย เป็นไฉน
ปุญญาภิสังขาร
อปุญญาภิสังขาร
อาเนญชาภิสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร
จิตตสังขาร
ในสังขารเหล่านั้น ปุญญาภิสังขาร
เป็นไฉน
กุศลเจตนา เป็นกามาวจร
เป็นรูปาวจร ที่สำเร็จด้วยทาน ที่สำเร็จด้วยศีล
ที่สำเร็จด้วยภาวนา นี้เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร
สังเกตให้ดีๆนะ ว่า กุศล และเจตนา
ที่เป็น "กามาวจร และ รูปาวจร"
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงระบุไว้นี้ จะสำเร็จผลเป็น"บุญ"(ปุญญ)นั้น
ต้องเกิดด้วย "ทาน" ด้วย"ศีล"
และที่สำคัญคำว่า ด้วย"ภาวนา"นี่แหละที่อาตมาเห็นว่ายังเพี้ยนๆกันอยู่
"บุญ"ที่จะสำเร็จผลด้วย"ทาน"
ก็ไม่ใช่สำเร็จด้วย "การทำทานเพียงแค่ทำพฤติภายนอก"เท่านั้น
โดยไม่มีความรู้เลยว่า "ทาน"แล้ว"ทำใจในใจ"(มนสิกโรติ)
อย่างไร จึงจะ "มีผล"เป็น "บุญ"กันตามแบบพุทธ
หรือแม้ "ศีล"ปฏิบัติกันอย่างไร จึงจะ "มีผล"เป็น"บุญ"กันตามแบบพุทธ
โดยเฉพาะ"ภาวนา"คืออะไร
ทำอย่างไร จึงจะ"มีผล"เป็น"บุญ"กันตามแบบพุทธ
ซึ่ง"ภาวนา"นี้หมายถึง"การเกิดผล"
เป็นเรื่องของ"ผล" แต่ไปหลงผิดกันแค่ว่า "ภาวนา"เป็น"วิธีการปฏิบัติ"
พูดกัน เข้าใจกันอย่างนั้น ซึ่งนั่นมันแค่"มรรค"
ยังไม่ถึง"ผล" ยังเป็นคนละอย่างกับความเป็น"ผล"
ถ้าถึงขั้น"ภาวนา"
มันก็ต้องหมายถึง"ผล"ที่เกิดขึ้น(ภาวนา)
จากการปฏิบัติ ถูกแบบถูกแผนของศาสดามั้ย แล้วมี"ผล"อย่างไร
จากการกระทำอย่างไร
ภาษาที่ว่า"บุญ"นี้
คือ "ผล" ที่ผู้ปฏิบัติ"จะได้" "บุญ"เป็น"สิ่งที่ได้"ก็จริง
แต่ไม่ใช่"ได้ความโลภเติมใส่จิตใจ" ทว่าหมายถึง"ผลในใจ"ที่ชำระจิตสันดาน
หรือผลในใจที่
"ชำระกิเลสให้ลดให้หมดไปจากจิตใจ"
ซึ่งต้อง "ทำใจ"สละออกไป
จึงจะเป็น "การได้บุญ"ที่ถูกต้อง"สัมมาทิฏฐิ"
ถ้าผู้ทำทานยังมี
"การทำใจในใจไม่ถ่องแท้"(โยนิโสมนสิการ) กล่าวคือ "ยังทำใจในใจ"(มนสิกโรติ)
ไม่เป็น "การทาน" ซึ่งต้องเป็น "ทำใจให้สละใจโลภออกไป"ไม่เป็น
หรือทำไม่ถูก
กลายเป็น "ทำใจในใจ"เป็นใจขอ-ใจเอา-ใจอยากได้
หาก
"ทำใจ"แบบนั้น มันคือ มโนกรรมที่"ทำใจโลภเพิ่มใส่ให้ตน"ต่างหาก
ผู้ทำเช่นนี้ ก็ได้
"ความโลภ"ตามมโนกรรมที่มี"พฤติของจิตใจ"ที่ทำจริง
"ทำทาน"แต่ได้"ความโลภใส่ใจ"
มันก็ไม่เป็น"บุญ"เลย แม้จะสละวัตถุ ก็ได้กุศล ได้ความดีงามที่เป็น
"โลกียธรรม"ส่วนนี้ แต่ ไม่ได้"กุศล"ที่เข้าขั้น"บุญ"
คือ ขั้น"ชำระจิตสันดาน"อันเป็น"ปรมัตถธรรม"ที่บรรลุธรรม"โลกุตระ
"
ขั้น"จิตถูกชำระสันดาน"ก็ดี
"จิตถูกชำระกิเลส"ก็ดี นี่แหละที่พุทธศาสนามันได้เพี้ยนออกจาก
" สารสัจจะของพุทธ " ไปเป็นเรื่องตื้นๆ พื้นๆ ใครๆทั่วไปก็ทำได้ ทำกัน ที่จริงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก
แต่มันมิจฉาทิฏฐิกันเท่านั้นจึงทำบุญไม่ได้บุญ
ทุกวันนี้ภาษาคำว่า
" บุญ " นี่
มันหมายถึงอะไรต่ออะไรผิดเพี้ยนไปหนักหนาแล้ว คนจึง " ทำบุญ
" ก็ผิด แล้วไปหลง " สิ่งที่ตนได้ " ก็ผิด ซึ่งยังไม่ใช่
" บุญ " แท้ๆเลย
ลองมาทำความเข้าใจกับ
" ปุญญาภิสังขาร " กันดีๆซิ
พระบาลีว่า ตตฺถ กตโม ปุญฺาภิสงฺขาโร
กุสลา เจตนา กามาวจรา รูปาวจรา ทานมยา
สีลมยา ภาวนามยา
อยํ
วุจฺจติ ปุญฺาภิสงฺขาโร ฯ
ซึ่งท่านแปลเป็นไทยไว้ว่า
" กุศลเจตนา เป็นกามาวจร เป็นรูปาวจร
ที่สำเร็จด้วยทาน ที่สำเร็จด้วยศีล ที่สำเร็จด้วยภาวนา นี้เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร
"
ตามภูมิอาตมาซึ่งจะเอาสภาวะธรรมที่อาตมามีเป็นหลัก
ก็เข้าใจได้ว่า กุศล นั้นคำหนึ่ง เจตนา นั้นอีกคำหนึ่ง
ที่มีในประโยคนี้ ซึ่งให้ความหมายอยู่ชัด
ดังนั้น ปุญญาภิสังขาร
จึงหมายถึง ความมุ่งหมาย(เจตนา) ปฏิบัติตนให้เกิดความดีงามถูกต้อง(กุศล)
ที่ท่องเที่ยวไปในแดนกามภพ(กามาวจร) และท่องเที่ยวไปในแดนรูปภพ(รูปาวจร)
ที่สำเร็จได้ด้วยทาน สำเร็จได้ด้วยศีล สำเร็จได้ด้วยภาวนา ซึ่งต้องเข้าใจ
" ทาน-ศีล-ภาวนา " อย่างสัมมาทิฏฐิแท้จริงเป็นสำคัญ
ดังที่ได้อธิบาย
" การทำทาน " ที่ผ่านมานั้นบ้างแล้วเป็นต้น
ความสำคัญตรงตัวของ
" บุญ " ก็คือ ภาวะนั้นต้อง
" ชำระจิตสันดานให้หมดจด "
(สันตานัง ปุนาติ วิโสเธติ) ซึ่งกิเลสอนุสัยคือสันดานในจิตใจ
จึงจะต้องชำระกิเลสทั้งหลายให้ลดละจางคลายลงๆๆ กระทั่งสะอาดสิ้นอนุสัยจนหมดจด
ดังนี้จะเป็น
" บุญ " ที่ถูกที่แท้ เป็นปรมัตถสัจจะจริง ชี้บ่งยืนยันได้ว่า
" กุศล " นั้นเข้าขั้น " บุญ " ตาม " เจตนา
" หรือตาม " ความมุ่งหมาย " ซึ่งมุ่งหมายไปนิพพาน
แต่ถ้า
" กุศล " ยังเป็นสังขารได้แค่ความดีงาม
แค่กรรมดี ที่เป็นโลกียะ นั่นก็เป็น " กุศล
" ได้ ก็เป็นไปตาม " เจตนา " (ความมุ่งหมาย)ของผู้นั้น
" อภิสังขาร ๓ " ของผู้นั้น ก็เป็น
" กุศล " ตาม " เจตนา " ขั้นโลกียะ
ก็เป็นของผู้ที่ไม่มี " ความมุ่งหมาย " หรือไม่มี
" เจตนา " ให้ " กุศล " เป็นผลถึงขั้น " บุญ
" ที่แปลชัดเจนว่า " ชำระจิตสันดานให้หมดจดหรือชำระกิเลสให้หมดจด
"
" ปุญญาภิสังขาร " ก็ไม่ต้องหมายถึง " ชำระจิตสันดาน,ชำระกิเลส
" เป็นปรมัตถธรรมที่มี
" ความมุ่งหมาย " (เจตนา)ไปนิพพาน
ก็ไม่มีปัญหาอะไร
ถ้าเป็นแค่โลกียะดังว่านี้
แล้วจะแปล "
อปุญญ " ให้เป็นคำว่า " บาป " อันเป็นคำตรงกันข้ามกับ
" บุญ " อาตมาก็ไม่ได้เห็นแปลกอะไรเลย
ตามภูมิของผู้นี้ก็ถูกแล้ว
คำว่า
" บาปกับบุญ " ของคนผู้นี้ก็ปฏิบัติธรรมได้ "
กุศล " ที่เป็น " กุศล " แค่โลกีย์ ก็ได้
" บุญ " ที่ไม่ใช่ " การชำระกิเลส " ที่เป็นโลกุตระ
มีมรรคผลไปสู่นิพพาน
ส่วนอาตมานั้นมี
" ความมุ่งหมาย " (เจตนา) และยืนยันว่า " อภิสังขาร
๓ " นี้ เป็น " อภิสังขาร " ขั้นโลกุตระ
มุ่งหมายชัดเจนว่า หมายเอา " ปรมัตถธรรม " ที่ต้องถึงขั้นลดละกิเลส
หรือชำระกิเลสกันให้ได้จริงๆ
" กุศล " จึงเป็นความมุ่งหมาย(เจตนา)หรือความจงใจ(เจตนา)ที่อาตมาหมายนั้นคือ
" บุญ " ที่เป็นภาวะ " ชำระจิตสันดานให้หมดจด
" (สันตานัง ปุนาติ
วิโสเธติ)
และ
" บาป " ก็คือ " กิเลส "
ที่ต้องชำระหรือกำจัดเจ้าตัวนี้ ให้มันสิ้นสุดถึงกิเลสอนุสัยคือสันดานในจิตจนหมดจด
ดังนั้นคำว่า
" อปุญญ " ขั้นที่อาตมาหมายจึงไม่ใช่เพียง แปลกันแค่การกลับไปกลับมาของ
" ภาวบาปกับภาวะบุญ " วนไปวนมา ไม่หยุดความวนลงได้
" ความวนของบุญๆ-บาปๆ
" หรือ " ความวนของกุศล-อกุศล
" ซึ่งยังเป็นขั้นโลกีย์ อันไม่พ้นจาก " วัฏฏะ "
ของ " บุญกับบาป " หรือไม่พ้นจาก
" วัฏฏะของกุศลกับอกุศล " ซึ่งเป็นภาวะที่ออกจาก
" วัฏฏะ " ไม่ได้ ก็คงยังเป็น "
โลก " ที่หมายถึงความหมุนวนไม่รู้จบอยู่นั่นเอง
" วัฏฏะ " ที่เป็น " ความวนเวียนไม่รู้จบ " นี่แหละ
คือ " โลก " คือ " โลกีย์ "
อาตมาหมายเอา
" โลกุตระ " ที่หมดสิ้น
" วัฏฏะ " หมดสิ้น " ความวนเวียน "
" อปุญญ " ที่อาตมาหมายจึงได้แก่ " การหมดสิ้นความวนเวียนไม่มีบาป และไม่มีบุญ
" ด้วย บาปก็หมด " การชำระบาป
" จึงไม่มีแล้ว หมดแล้ว
" การต้องมีบุญ คือ มีการชำระกิเลสกันอีก " ก็ไม่ต้องชำระกันอีกแล้ว
นั่นคือ
" ไม่ต้องชำระบาปหรือกิเลส " อีกแล้ว จึงพ้นทั้งบาป-พ้นทั้งบุญ
ถ้าไม่ถึงขั้นเข้าสู่
" โลกุตรภูมิ " เพื่อไปสู่นิพพาน คือ
" ทำบุญ " ไม่ถึงขั้น " ชำระกิเลส " จนกระทั่งหมด
" ความวนที่ต้องชำระบาป-ต้องทำบุญ " อยู่ไม่จบ ก็ยังไม่ชื่อว่า
" อภิสังขาร " ที่เป็น " สังขาร
" ขั้น " อภิ " คือ อยู่เหนือ ยิ่งๆขึ้นไป ถึงขั้น ปรมัตถธรรม
หรือธรรมะที่เป็นอาริยะ ยังไม่เข้าข่ายโลกุตระ
ถ้า
" กุศล " นั้นยังยังไม่เป็นอาริยะที่เข้าถึงขั้น
" ปรมัตถธรรม " ที่เป็นโลกุตระ
" อภิสังขาร ๓ " ของผู้นั้นก็ยังเป็นแค่ " โลกียภูมิ
"
" ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร " แม้แต่ " อาเนญชาภิสังขาร
" นั้นๆก็ยังไม่เข้าข่ายที่เรียกได้ว่า " บุญ "
ที่เป็น " กุศล " (ความดีงาม)ตามอาตมามุ่งหมาย(เจตนา)
ความสำคัญที่ขอตั้งข้อสังเกตให้เห็นชัดๆอีกประเด็น
ก็คือ สังขาร(การจัดแจง) ที่
" ท่องเที่ยวอยู่ในแดนกามภพ " (กามาวจร)
นั่นก็หมายความว่า " อภิสังขาร ๓ " นี้
ปฏิบัติในขณะที่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจรับรู้ทั้งภายนอกภายในครบ
" มิใช่
" หลับตาไม่รับรู้ทางภายนอก ๕ ทวาร
ตามพระวัจนะที่ทรงยืนยันอยู่ชัดๆ
จึงจะมีคุณธรรมขั้นอุตตริมนุสสธรรมที่มีคุณภาพยิ่งกว่าปกติสามัญเข้าข่าย
" โลกุตระ "
และจะชี้ได้ว่า
" กุศล " นั้นเข้าขั้น " บุญ " ก็ต้องมีข้อตัดสิน
นั่นคือ " กุศล "
นั้นต้องมีผล(อัตถิ)ถึงขั้น " ชำระกิเลส-ชำระจิตสันดาน
"
ทำทาน ก็มีแต่จิตชำระโลภลดลงๆ
มิใช่ทำทานก็มีแต่
" โลภ
" มากขึ้นๆ
ปฏิบัติศีล ก็ต้องลดอุปาทาน
ไม่ใช่ยังเป็นแค่ " สีลัพพตุปาทาน
" หนักขึ้นๆ
ภาวนา คือ การเกิดผล
ก็ได้แต่ "
สัมมาผล " มิใช่มีแต่ " โลกียกุศล
" เป็นผล
"
ได้บุญ " นั้น ไม่ใช่แค่ " ได้โลกธรรมมาให้ตน
" แต่ได้ " ชำระจิตสันดาน หรือชำระกิเลสออกไป " ต่างหาก
จึงจะตรงตามศัพท์ที่ว่า " ปุญญ " หรือที่มาเป็นภาษาไทยว่า
" บุญ " นี่เอง ซึ่งทุกวันนี้เข้าใจคำว่า " บุญ
" เพี้ยนไปไกลกลายเป็น " โลกียผล " กัน
คำว่า
" บุญ " หรือ " กุศล " จึงไม่ใช่แค่เจริญด้วย
" อามิส " เป็น " โลกีย์ " อยู่เท่านั้น
ดังนั้น
" กุศล " ที่เราจงใจ(เจตนา) ที่เรามุ่งหมาย(เจตนา)และสำเร็จด้วยทาน-ศีล-ภาวนา
นั้น ทั้งที่ท่องเที่ยวไปในแดนกามภพ(กามาวจร)
และท่องเที่ยวไปในแดนรูปภพ(รูปาวจร) ไม่ใช่หลับตาอยู่ในภวังค์
จึงเป็นการท่องเที่ยวไปก็ได้สัมผัสสัมพันธ์
" กามภพ-รูปภพ " ไป
พร้อมกับ " ชำระจิตสันดานของตนไป " เมื่อชำระได้ก็
" ได้บุญ " ไปตามลำดับสู่จุดมุ่งหมายคือ " โลกุตรภูมิ
"
หมายความว่า ปฏิบัติธรรมแบบลืมตาปกติในชีวิตสามัญ
ตามแบบพุทธ ที่สัมมาทิฏฐิ ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา ล้วน
" โยนิโสมนสิการ " บริบูรณ์ คือ ทำใจในใจได้ถูกต้องตามหลัก
" ปฏิจจสมุปบาท " ตามหลัก " มรรค อันมีองค์ ๘ "
ที่เป็น " สัมมาสมาธิ
" คือมี " สัมมามรรค-สัมมาผล
" ซึ่งต่างจาก " โลกียมรรค-โลกียผล
" ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก
เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๒-๒๘๑ " มหาจัตตารีสกสูตร "
เพราะไม่ใช่ปฏิบัติแบบนั่งหลับตาทำ
" สมาธิ " ที่ไม่ได้ดำเนินตาม
" มรรค ๗ องค์ " ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน
" มหาจัตตารีสกสูตร "
จึงได้
" สมาธิ " กันคนละอย่าง หรือสำเร็จ
" อธิจิตสิก
" ขาไม่เหมือนกัน
" บุญ " จึงได้คนละชนิด หรือ " ปุญญาภิสังขาร
" ได้ผลกันคนละแบบ
สรุปก็คือ
" ปุญญาภิสังขาร " แบบหนึ่งเป็นโลกียะ
อีกแบบหนึ่งนั้นเป็นโลกุตระ
โลกียะ กับ โลกุตระ คือ โลกทั้ง ๒
โลก แต่เป็น " โลก " คนละแบบ
ผู้บรรลุ
" โลกุตระ " รู้จักรู้แจ้งรู้จริง " โลกียะ " ดี เพราะเคยอยู่
" โลกียะ " มาแล้วทุกคน ครั้นได้เรียนพุทธธรรมที่
" สัมมาทิฏฐิ " และสามารถปฏิบัติจนหลุดพ้นออกไปอยู่ใน
" โลกุตระ " ได้แล้ว จึงเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง " โลกทั้ง
๒ โลก "
ส่วนผู้อยู่ใน
" โลกียะ " ยังไม่พ้น " โลกียะ " ออกไปจาก " โลกียะ
" ไม่ได้ ก็ไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง
" โลกุตระ " ได้ นอกจาก
" เดา " หรือคาดคะเนเอา
พระพุทธเจ้าทรงเรียก
" โลก " อันเป็น " โลกียะ
" ที่มีคนปุถุชนอยู่อาศัยเป็นโลก
ของคนทั่วไปสามัญทั้งหลายในจักรวาลนี้
ว่า
" อยังโลก "
" อยังโลก " หรือ " โลกียะ " ที่รู้กันทั่วไปคือ " โลกนี้
"
ส่วน
" ปรโลก " ที่เรียกกันว่า " โลกหน้า-โลกอื่น
" พระองค์ทรงเรียกว่า โลกุตระ
ซึ่งเป็น
" โลก " ที่พระองค์ทรงค้นพบใหม่ เป็น
" โลก " อีกแบบหนึ่ง ที่ต้องศึกษาให้สัมมาทิฏฐิจริงๆจึงจะปฏิบัติกระทั่ง
" ทำใจในใจ " (มนสิกโรติ)ของตนหรือทำ
" อภิสังขารมโนกรรมของตน " จน " เกิด " สำเร็จได้(กรรมโยนิ)
" จิตใจ " ของตนก็ " เกิด " เป็น
" คนโลกใหม่
" (ปรโลก)หรือ " โลกอื่น
" (ปรโลก)หรือ " โลกหน้า " (ปรโลก) ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบได้
" ปรโลก " ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ และทรงเรียกว่า "
โลกุตระ " ซึ่ง
" ใจเกิด " ไม่ใช่ "กายเกิด " และ "
เกิด " ในขณะที่มีชีวิตเป็นๆ ลืมตาโพลงๆนี้แหละ
พ่อครูอธิบายแทรกว่า
ที่คุณ0850556xxx ว่าถ้าไม่ใช่วิญญานแล่นไปท่องเที่ยวไปแล้วมันคืออีหยังทิ่แล่นโปท่องเที่ยวไป
พ่อครูว่า พระพุทธเจ้าท่านบริภาษภิกษุสาติว่า
อย่าไปพูดอย่าไปคิดว่าวิญญาณท่องเที่ยวไปอย่างนั้น พวกที่คิดอย่างนั้นเป็นเทวนิยม
ไม่ใช่ธรรมะปัจจุบันธรรม ไม่เป็นวิทยาศาสตร์
แต่ให้เรียนรู้วิญญาณที่เกิดในขณะมีผัสสะทางทวาร ๖ ท่านตรัสไว้ในวิภังคสูตร
แม้ขั้นอรูปาวจรก็ยังต้องลืมตาปฏิบัติล้าง รูปาวจร อรูปาวจร ยังมีสัมผัสครบ ๖
ทวารเลย ไม่ได้ไปจับวิญญาณล่องลอย เราไปจับไม่ได้ เพราะเอกจรัง
ไปเดี่ยวๆไม่เกี่ยวกับใคร ถ้าไม่มีโลกที่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ก็ไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ เหมือนคุณนอนฝันหรือสลบไปก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ก็ไปตามวิบาก แม้จะมีจิตระลึกได้ก็ได้ระดับหนึ่ง
ถ้ามีอนุสัยกิเลสมันก็ตื่นมาเล่นงานคุณแน่ถ้ามีทวาร ๖ ก็กลบเกลื่อนไปได้
ในตอนเป็นๆสะกดจิตก็ได้ไปนานเท่าที่สะกดได้
แต่ก็ต้องตื่นมารับรู้อยู่ดี
อย่างฤาษีตื่นมาก็ต้องกินต้องอยู่ต้องมาอยู่กับผัสสะอยู่ดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี
ภิกษุสาติ มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
"เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ
ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย
เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย
ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น
พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี. (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.๑๒ ข.๔๔๐)
พอตายแล้ววิญญาณเกิดไม่ได้
ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัส มันจะจมอยู่กับภวังค์เท่านั้น
คุณต้องอาศัยสัญญาหรือความจำ ซึ่งเป็นของแห้ง
และคุณเองก็ไม่เก่งที่จะเอาสัญญามาใช้ได้ เพราะไม่ได้เรียนรู้ดับโลกมาตั้งแต่ กามโลก
รูปโลก อรูปโลก คุณตายไปก็ต้องดิ้นรน จะไม่รู้ตัวว่าตนเป็นใครลึกซึ้ง
อย่างฝันก็แค่รู้ว่าอยากอะไร ดิ้นไปหาสิ่งที่อยากได้อยากมีอยากเป็น
ตอนตายคุณจะไม่มีเวลา อเวจีไม่มีเวลาให้คุณดู ไม่รู้ว่าจะจมนานขนาดไหน
ตอนหลับมีผีอำคุณก็ดิ้นรนออกมาให้ได้ทางทวาร ๖ แต่ว่าตายไปดิ้นไปก็ไม่ออกมา
ก็จะทรมาน เป็นผีอำอยู่ตลอดกาลนานเท่าที่มีวิบาก
ตัวเป็นๆมีนรกสวรรค์แล้ว
แต่ตอนตายเป็นนรกไม่มีทางออกเลย จะจมอยู่กี่กัปกี่กัลป์เท่าที่ตนยึดถือ
เหมือนคนดื้อดันทุรังตอนเป็นๆก็อย่างนั้นแหละ
แต่ตอนตายจะดื้อดันทุรังมากกว่าไม่รู้กี่เท่า น่ากลัว
" ใจ " เท่านั้น " เกิด " โดยเราได้
" ทำใจ " ที่เป็น " อกุศลจิต
" ของเราส่วนหนึ่ง
ตายลง
ดับสนิทไป(นิโรธ) " ใจ "
ของเราได้ " ชำระจิตสันดาน " นั้นออก ใจใหม่ก็เกิด
เกิดใน
" กาย " ที่ยังมีชีวิตเป็นๆนี่เอง
เป็น " การเกิดทางใจ " (โอปปาติกโยนิ)
" ปรโลก " ของพระพุทธเจ้านี้สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง
" สันทิฏฐิโก " ในขณะมีร่างกายและใจที่มีชีวิตเป็นๆ นี้เอง
" โดยตนเอง " (เอโก)
"ปรโลก"ของพระพุทธเจ้าจึงสามารถรู้แจ้งเห็นจริงเป็นจริงได้ในขณะที่มีชีวิตเป็นๆ
ถ้าศึกษา " สัมมาทิฏฐิ " และมี " สัมมาปฏิบัติจนกระทั่งบรรลุการเกิด-การดับ
"
ของรูปนามในจิตใจ หรือปฏิบัติทำ
" การเกิด-การดับ " จนเข้าขั้น "
จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน
" ที่เป็น " ปรมัตถธรรม "
ดังกล่าวมานี้ได้มรรคผลจริง
เมื่อปฏิบัติจนเกิดผลรู้แจ้งความเป็น
" โลกุตระ " นั้นได้ในตนแล้วก็เป็น " ความรู้แจ้ง
" ได้ด้วยตนเอง ของตนเอง เป็นเช่นนั้นเอง(ตถตา=เช่นที่พระพุทธเจ้าทรงเป็น)
ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตแท้ๆ
ที่พิสูจน์ " โลกุตระ "
นี้ได้จริงๆ
เพราะรู้แจ้ง
" โลกียะ " หรือโลกของคนทั้งหลายที่เป็นแดนแห่งจิตใจอาศัยอยู่
แล้วก็วนหมุนอยู่กับสุขกับทุกข์แบบสามัญปุถุชน ซึ่งเป็นกันอยู่ทั่วทั้งโลก
แล้วได้ศึกษาทั้งปฏิบัติจนกระทั่งบรรลุ " ความจริง "
สำเร็จจริง ว่า
" โลกียะ " นั้นคือ
" สังขาร " ของคนที่ยัง " อวิชชา " อยู่จริงๆ เพราะหลง " ยึด "
ว่า เป็น
" รสสุข " ที่ผู้ติดยึดต้องได้
ต้องมี ต้องเป็น ต้องเสพเป็นสวรรค์(โลกียสุข)
จึงยังมี " นรก " (ทุกข์)อยู่แท้จริง
เพราะ " สวรรค์กับนรก " นั้นเป็นธรรมชาติคู่
เป็นภาวะคู่ ถ้ายังมีอย่างหนึ่ง ก็ต้องมีอีกอย่างหนึ่ง
ถ้าไม่มีอย่างหนึ่งอย่างใด อีกอย่างหนึ่งอย่างใดก็ไม่มี
คนผู้ยัง " อวิชชา " จะเชื่อว่า
" สวรรค์หรืออารมณ์สุข " อย่างที่คนทั้งหลายหลงยึดว่าจริง
ที่ต้องเสพนั้น หมดไปจากจิตใจไม่ได้ ถือว่าขาดธรรมชาติ(สุข)อย่างนี้ไปจากจิตใจคนไม่ได้
ต้องมี ยังไงๆคนก็ต้องมี " อารมณ์สุข "
คนที่หลงมากติดมากจึงหลง " ปรุงแต่ง (สังขาร)อารมณ์สุขอย่างนั้นอย่างนี้ให้ตนเสพ
" อยู่เสมอ ไม่ปรุงอย่างใด
ก็หาเรื่องปรุงอย่างหนึ่งอยู่ตลอด
คน " อวิชชา " จึงหลงใน " สังขาร " อย่างงมงายเละเทะเลอะเทอะหาที่สุดมิได้
สุขมันไม่มีอยู่ตลอดเวลา คนก็รู้
มันมีอย่างนั้น แล้วก็ไปมีอย่างนี้ สุขอย่างนี้หยุดไปไม่มีระยะใดระยะหนึ่งก็จริง
ไม่มีอารมณ์สุขชั่วคราว..ได้ พักชั่วคราว..ได้ แต่ขาดสูญ " อารมณ์สุข " อย่างที่เคยมีนี้ไปจากจิตใจคนตลอดกาลไม่ได้
ยิ่งอารมณ์สุขที่ตนเสพติด ยิ่งขาดไม่ได้ คนต้องมี " สุข " (โลกียสุข)
ไม่เชื่อว่า
" สุข " จะสูญสิ้นไปได้
ถ้าคน
" ไม่มีสุข" ก็จะไม่ปกติ ไม่เหมือนคนทั้งหลาย หนะสิ
เมื่อผู้ศึกษาและได้ปฏิบัติจนกระทั่งมี
" การชำระกิเลส " หรือ " ชำระจิตสันดานให้หมดจด
" ได้จริง จึงจะเชื่อสนิทว่า " โลกที่ยังหลงสุขอยู่ "
นั้น ก็ต้องมี " ทุกข์ " อยู่
สัมผัสจริงๆมันสุข แต่เมื่อไม่ได้สัมผัส มันก็มีแต่ความจำ
ไม่ใช่ความจริง มันลวงเรา ต้องชัดเจนว่ามันไม่ใช่สุขจริง
ถ้าสุขจริงมันต้องอยู่ตลอดสิ
โลก..โลกียะ จึง
" ดับสุขดับทุกข์สนิท " ไม่ได้
ส่วนโลก..โลกุตระนั้น
" ดับสุข-ดับทุกข์ " ได้สนิทจริง
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่แยก
" โลก " ๒ โลกนี้ได้ และพาคนให้ปฏิบัติจนเลิกเป็นคน
" โลกียะ" กลายเป็นคนโลกใหม่คือ " โลกุตระ " โดยไม่ต้องกลับมาเป็นคน
" โลกียะ " เป็นคนผู้ " ไม่ทุกข์ไม่สุข " (อทุกขมสุข)อีกเลยได้อย่างแท้จริงสัมบูรณ์ (โปรดติดตามตอนต่อไป)
อ.กฤษฎา สรุป สิ่งที่พ่อครูอธิบายเป็นการอธิบายปฏิจจสมุปบาทอย่างลงรายละเอียด
โดยเฉพาะเรื่องการสังขาร ที่มีสังขาร ๓ ที่เป็นกระบวนการเกิดทุกข์
เราเรียนรู้ไปเพื่อให้พ้นทุกข์ ในขณะเป็นๆ สูงสุดถึงนิพพาน
ซึ่งต้องมีวิธีการปฏิบัติ โดยการมีปุญญาภิสังขาร ที่ประกอบจากกุศลเจตนา
วันนี้เราชัดเจนว่า ถ้าเป็นกุศลที่เป็นบุญ ก็คือเครื่องชำระจิตสันดานให้ได้
เป็นสภาวะปรมัตถธรรม จะสำเร็จได้ด้วยการทำทานอย่างชำระความโลภ
ทำศีลที่สัมมาปฏิบัติไปสู่ ภาวนาที่เป็นผลโลกุตระ...........จบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น