วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

560225_เทศน์กัณฑ์พิเศษมาฆะบูชา


เทศน์กัณฑ์ พิเศษมาฆะบูชา โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 
ณ เวทีธรรมชาติทุ่งศาลี พุทธสถานศาลีอโศก จ.นครสวรรค์ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๖
คลิปเสียง mp3 วันที่ ๒๕ ก.พ.๕๖ ธรรมะกัณฑ์พิเศษ วันมาฆะบูชา ดาวน์โหลดได้ที่นี่..  http://bit.ly/YREhpI

                สังคมมนุษย์ก็จัดพิธีกรรมในวันสำคัญต่างๆ มาร่วมพัฒนาทำสิ่งดี ให้เจริญ ในทางโลกต้องการให้คนมารวมกันมากๆ ก็ใช้เครื่องล่อ เครื่องเล่น เอากิเลสจูงใจคนให้มาร่วมกันมากๆ คนก็มา แต่พอหนักเข้า แทนที่จะได้การสร้างสรร กลับเรื้อกันไปเอาแต่สนุกสนาน คนทำ คนมาก็ไม่รู้เป้าหมายสาระ มาแต่เอิกเริกเฮฮา หยำเป ก็ไม่ได้เรื่อง คำว่าสนุกสนาน เป็นคำที่สำคัญ เพราะคำว่าสนุกสนาน เพลิดเพลินเอร็ดอร่อย เป็นรสกาม รสความใคร่อยากของมนุษย์ ที่ได้บำเรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เสร็จแล้วก็สมอุปาทาน สมกิเลสที่ไปติดยึด ก็เกิดผลสังขารกันแล้วก็ไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้ศึกษาศาสนา ก็สังเคราะห์ปรุงแต่งสังขาร เป็นรสชาติ อยู่ตราบนิรันดร์ ผู้ไม่ศึกษาศาสนาจนถึงขั้นรู้ความเป็นกาม คือความใครอยากแล้วแสวงหามาบำเรอความใคร่อยากก็เป็นทาสกามอยู่ตลอดกาลนาน
รายการพิเศษ ธรรมะภาคค่ำ มาฆะบูชา ๒๕ ก.พ. ๕๖ โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 37 ณ พุทธสถานศาลีอโศก จ.นครสวรรค์
                วันนี้วันมาฆะบูชา ๒๕ ก.พ. ๕๖ พวกเรามาบัดนี้ก็รู้ธรรมะที่พค.ได้พากเพียรบรรยายได้มากขึ้น ธรรมะพพจ.เป็นของที่ไม่ลึกลับ เป็นไปได้ เป็นสวากขาตธรรม สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ

                ต้องเอาตัวเองมาปฏิบัติ(สันทิฏฐิโก) ยุคไหนก็ปฏิบัติได้(อกาลิโก) ข้อสำคัญต้องสัมมาทิฏฐิ สามารถยืนยันให้ใครดูได้ เชิญหรือท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ เป็นดอกฟ้าที่หมาวัดควรเอื้อม(โอปนยิโก) เป็นสิ่งสูงที่แม้เราจะต่ำก็ควรเอาให้ได้ จะเกิดกี่ชาติก็ตาม ควรได้ที่สุดคืออาริยธรรม ที่พพจ.ตรัสรู้ คืออาริยสัจ ๔ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนๆก็ตรัสรู้อันนี้ เป็นสูตรสมบูรณ์
                ความรู้อันนี้ก็ได้ประกาศออกไป แล้วก็ใช้ได้ระยะหนึ่ง ต่อมาก็เพี้ยนไป มีภาษาเดิมอยู่ แต่เอาความเห็นความเข้าใจของตนไปใส่ จนเพี้ยนออกจากเนื้อแท้ของพุทธ เรียกว่าได้มิจฉาผล เพราะไม่มีสัมมาอาริยมรรค ไม่มีผลจริงที่เห็นได้ว่า ศาสนาพุทธจริงๆเป็นศาสนาสังคม มีโลกะวิทู มีความรู้ความเข้าใจโลก (รู้ชัดรู้ดีด้วย) และมีโลกุตรธรรม อยู่เหนือโลกีย์ได้อย่างแท้จริง อยู่เหนือแต่ไม่ข่มเบ่งโลกีย์ แต่เข้าใจ เห็นใจ เมตตาด้วย ช่วยให้เขาพ้นทุกข์อย่างเราบ้าง ให้เขามีสุข พหุชนะสุขายะ
                ซึ่งไม่ใช่สุขโลกีย์ ในโลกุตระก็ใช้คำว่าสุข แต่จริงๆไม่สุขอย่างโลกีย์ ที่เขาสุขอย่างบำเรอตัณหาอุปาทาน ได้สมที่ต้องการ ก็สุข ได้บำเรอทวารนอกก็สุข แต่กิเลสก็โตก็อ้วน เมื่อมีการกระทบทวาร ก็เกิดอารมณ์ชอบใจไม่ชอบใจ แล้วคนก็แย่งชิงกันไปบำเรอใจตนเอง ตามกิเลสบงการ ตามที่เรายึด ตามสเปค ของใครก็ของมัน ได้ก็สมใจ แต่มันมันหลอก ตัวสุขนี้เป็นตัวล่อ ให้คนหลงว่ามันจริง ถ้าไม่ได้ก็แห้งเหี่ยว โหยหา หมดชีวิตชีวา เขาก็ปรุงแต่งกันจัดจ้าน หลอกล่อ ปรุงไม่หยุดหย่อน จัดจ้านวิตถารมากมาย ไม่ว่าจะให้ได้สมกามหรืออัตตาก็ตาม
                เขาไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ ว่าคนจะไปทิ้งมันทำไม ได้ลาภยศมาก็ต้องยินดี ถ้าได้มาก็เฉยๆ ไม่ต้องไปแย่งชิง จะไปคิดอย่างนั้นทำไม่ เขาคิดว่าได้ยศมาก็ดี ได้อำนาจมาก็ดีสิ เรื่องอะไรต้องไม่อยากได้ เรื่องสรรเสริญ เขามาว่าเราดีมันก็ดีสิ คนก็เอาความคิดแบบโลกีย์สามัญมาคิด อธิบายออกนอกไม่ได้ ทวนกระแสไม่ได้  การได้มาบำเรอทวาร ๖ หาทางเอามาให้ได้ รุนแรงทำลายยังทำ เลวร้ายก็ทำเพื่อสมกิเลส ในยุคไหนก็ทำกันเช่นนี้ ยุคนี้ยิ่งชัดเห็นง่าย มโหฬารพันลึก
                ผู้ที่จะมีภูมิธรรมจะรู้แจ้งเห็นจริงว่าเราต้องลดละปล่อยวางออกมา แล้วจะเห็นคุณค่าของการลดละว่าดีอย่างไร จะเป็นปัญญาของผู้ที่ได้รู้แจ้งเห็นจริง อย่างไม่ต้องให้ใครบอก คนอื่นบอกก็ไม่เท่าเราเห็นเอง จะตรงหรือไม่ก็ตาม เราก็เห็นเอง
                คำสอนพพจ.คือให้เรียนรู้ตัวกิเลสไปเป็นลำดับ ตั้งแต่อบาย เป็นเริ่มต้น แต่ทุกวันนี้เขาไปตัดลัดเอาแต่ภายใน แต่ภายนอกที่หยาบนั้นไม่ศึกษา ซึ่งการศึกษาปรมัตถ์ไม่ว่าหยาบกลางละเอียดก็ต้องมีสัมผัสภายนอก เพื่อเรียนรู้อาการใคร่หยาบที่เรียกว่า “กาม”  เป็นตัณหาเบื้องต้น แล้วค่อยไล่ไปหา ภวตัณหา คือตัณหาข้างใน เป็นรูปภพ อรูปภพ เรียนรู้ตัณหา มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ซึ่งเขาไม่เข้าใจในวิภวตัณหา ว่าคือความต้องการล้างภพชาติ เมื่อล้างกามในกามภพแล้ว ผู้ที่บรรลุกามภพ บรรลุกามราคะดับกิเลสได้จริง ตั้งแต่อนาคามี เป็นต้นไป แม้จะเป็นอนาคามีก็รู้จักกามาวจรภูมิ คือภูมิที่ดำเนินไปกับทวาร ๕ ก็มีการสัมผัสกระทบ แต่ท่านรู้ทันหมด ว่ากิเลสมันเกิดจากทางทวาร ๕ แต่ท่านก็ดับกิเลสได้หมด เรียกว่านิโรธ ดังนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่ามี “โลกนิโรธ” ก็คือพระอนาคามีเป็นต้นไป แต่เขาเข้าใจผิดว่าไปนั่งหลับตามีนิโรธภายใน ซึ่งเป็นทางผิด ที่บอกนี้ไม่ได้มีเจตนายกตนข่มท่านแต่เลี่ยงไม่ออก ก็ต้องชี้ให้ชัด ให้รู้เรื่อง แต่ไม่ได้มีจิตที่จะไปข่มเบ่งยกตนเหนือ ไม่มีจิตลามก แต่ทำด้วยเมตตาสงสาร แต่ท่านที่ไม่เชื่อก็ห้ามท่านไม่ได้หรอก
                พระอนาคามีถ้าล้างกามาวจรจนสามารถดับกิเลสกามได้เลย ถึงขั้นดับกามได้สุดเรียกว่า “กามาภิพู” แปลว่าผู้ชนะกาม ผู้ครอบงำความใคร่ ได้เสร็จ นั่นคือผู้มีภูมิขั้นอนาคามีเป็นต้นไป ผู้ที่สามารถดับกามได้ก็อยู่กับ โลกธรรม กับกามคุณเขานี่แหละไม่ได้หนีไปไหน ซึ่งเราอยู่แล้วเราให้เขา เขาก็ยิ่งจะให้เราอีก ถ้าความสามารถเรามี เขาก็จะยิ่งให้เราเพราะเราจะขยันสร้างสรร สิ่งที่เขาควรมีในโลกที่เป็นประโยชน์เราก็จะสร้างสรรให้คนอื่นแจกจ่ายเจือจานเกื้อกูล ก็ยิ่งได้กลับมามาก เป็นการทดสอบใจผู้ที่บรรลุด้วย จะไม่ตื่นเต้นยินดียินร้ายใดๆ แล้วก็จะสละออกให้คนอื่นอีก เป็นพุทธเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอดเลย
                ยกตัวอย่างอโศกมีพาณิชย์บุญนิยม คือมันทวนกระแสทุนนิยม ที่เขาต้องได้กำไรสูงสุดให้ได้ แต่บุญนิยมจะขาดทุนให้ได้มากที่สุด เอาไว้ให้น้อยที่สุด แต่อยู่ได้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จ ในการทำการค้า ดังที่เราได้เอาพระราชดำรัสในหลวง ว่า “แบบคนจน” ทุกวันนี้มั่นใจว่าไม่ได้หลงไป เพราะพวกเราทำได้จริง ยิ่งชัดว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรายิ่งชัดอีก ทุกวันนี้สังคมตีไม่แตกแต่ค้านแย้งในหลวงไม่ได้ เราจึงมีสิ่งยืนยันทั้งของในหลวงและของพพจ. ยืนยันว่าเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่ไม่ต้องไปทำงานลาภแลกลาภ พ้นลาเภน ลาภัง นิชิคิง สนตา ในมิจฉาชีพข้อที่ ๕ ของการมีสัมมาอาชีวะ ถ้ายังทำงานเพื่อให้ได้สิ่งตอบแทนอีก นั่นคือไม่พ้นลาภแลกลาภ แต่พวกเรามีทำให้ฟรีเลย ในงานประจำชีวิต สามารถให้คนอื่นอย่างไม่ต้องรับสิ่งแลกเปลี่ยนเลย ในสาธารณโภคี เลี้ยงดูกันไป มีสาราณียธรรม ๖ พุทธพจน์ ๗
                ตามมรรคองค์ ๘ ท่านได้ตรัสถึงการเรียนรู้ถึงขั้นทำใจในใจ เรียกว่า มนสิการ หรือมนสิกโรติ ในการจัดการทำใจให้กิเลสลดกิเลสดับทำอย่างไร จะรู้จะแยกแยะได้อย่างไร จะชัดเจนอย่างไร จนถึงขั้นรู้สังขาร ที่เรียกว่า “วจีสังขาร” คือการสังขารในใจ ถ้าเรารู้แล้วว่ามันมีการปรุงข้างในเป็นคำพูดเป็นเรื่องราว แต่ยังไม่เป็นวจีกรรม มีแต่ในใจเป็นเจตสิกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเรียนรู้ถึงขั้นนี้รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ถึงนามธรรม ตัวจิตที่เป็นองค์ประกอบกัน เรียกว่าเห็นด้วยปัญญา คือ “ยถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ปัสสโต” ยถาภูตังคือเห็นตามจริงว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่อย่างไร อ่านสภาพนั้นอย่างเห็นความจริงตามความเป็นจริง ที่แจกเป็น “วิปัสสนา” เป็นวิชชาหนึ่งในวิชชา ๘ ประการ ต้องเห็นตั้งแต่โสดาบัน เริ่มแยกออกว่า นี่คือกาม นี่คือพยาบาท ซึ่งกามและพยาบาทคือมิจฉาสังกัปปะ ซึ่งมีสาม (อีกอันคือวิหิงสา ก็คือขั้นกลาง ปลายของกามและพยาบาทนั่นเอง) ให้หมดเกลี้ยง เรียนรู้ลักษณะของกาม พยาบาท คือลักษณะดูด ลักษณะผลัก เป็นพลังงานทางจิต รู้โดยใช้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ อุเทศคือการยกเอาสภาวะออกมาเป็นภาษา เป็นคำความดังที่กำลังพูดอยู่นี่ เมื่อฟังเข้าใจเราก็ต้องไปปฏิบัติโดยอ่าน อาการ ลิงค นิมิต นิมิตคือเครื่องหมาย เราจะหมายรู้ว่านี่คือกาม นี่คือพยาบาท ซี่งจิตนั้นไม่มีสรีระ (อสรีรัง) มันเป็นนามธรรม เห็นด้วยญาณ หรือสัญญาของเราทำกำหนดหมายรู้เกิดเป็นปัญญา ซึ่งสัญญาจะเป็นตัวทำงานตลอด ให้รู้จักอาการกาม มันขึ้นมาอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นสัญญาณก็เป็นคำนาม เช่นสัญญาณทางไฟฟ้าวิทยุ มันเป็นอรูป ไม่มีสีสัน แต่ก็หาวิธีสัมผัสได้ วัดค่าได้ แต่ของพุทธไม่ได้ตั้งค่าเหมือนฟิสิกส์ ที่เขาตั้งค่าละเอียดให้รู้กัน แต่เราต้องกำหนดอ่านรู้ของตนเอง ให้ฝึกในขณะที่มีทวาร ๖นี่แหละ
                ตอนนี้พค.ก็สอนในเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่มีการสัมผัสรู้ภายนอกทางทวาร ๖ แล้วต่อเนื่องไปสู่ในใจ ที่พค.ยังอธิบายยังไม่ต่อเนื่องคือ เมื่อพระอนาคามีดับกิเลสกามแล้ว แม้จะเจอรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทางทวาร ๕ ท่านสัมผัสอยู่ท่านก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ท่านไม่ต้องหนี ท่านรู้โลกะวิทู ท่านไม่เป็นทาสมัน อะไรที่จะพออาศัย ในรูป เสียง กลิ่นรสก็ดี สัมผัสอะไรที่พออาศัยใช้ท่านก็ใช้ แต่ท่านไม่ได้มีอาการเสพ ท่านไม่ได้เกิดรสอร่อยเพราะอัสสาทะดับสนิทแล้ว ท่านเหลือแต่สังโยชน์ชั้นใน ที่เป็นภวานุสัย ท่านดับกามานุสัยได้แล้ว ยังเหลือแต่ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ท่านก็ยังต้องสัมผัสทาง ทวาร ๕ อยู่ ท่านอยู่ในกามาวจร แต่ท่านมีโลกุตรภูมิสำหรับกามแล้ว เมื่อกระทบสัมผัสแล้ว ถ้ารูปราคะยังมีอยู่ มันก็เกิดให้เห็น เมื่อมีสัมผัส ในขณะผัสสะสดๆเลยก็เกิด รูปราคะ อรูปราคะ ให้เห็นได้เลย แม้จะดับได้อีก เหลือแต่มานะ อุทธัจจะ อวิชชา คืออรหัตมรรค ก็ยังต้องมีการสัมผัสอยู่ ปฏิบัติขณะมีผัสสะอยู่ ท่านยังเหลืออุทธัจจะซึ่งเข้าข่ายอรูปฌานแล้ว อุทธัจจะคือของเล็กน้อยส่วนเหลือที่เราต้องอากิญจัญญะ นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ให้มี แม้อวิชชานิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ให้มี ให้พ้นอวิชชาสังโยชน์ พ้นอวิชชาสวะ นี่คือพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะสัญญา ต้องใช้สัญญาในการกำหนดหมาย ทางทวารทั้ง ๖ อยู่ในชีวิตประจำวันไม่ได้แยกออกจากชีวิตประจำวันเลย แม้บรรลุถึงสัญญาเวทยิตนิโรธก็ยังลืมตาอยู่ แต่กิเลสดับสนิทไม่เกิดเลยเห็นอยู่ทนโท่ เรียกว่า รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง คือ ยถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ปัสสโต ไม่ได้หมายความว่าหลับหูหลับตาเลย มุมนี้ให้เป็นของขวัญวันมาฆะบูชาเลย
                เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่เขาทิ้งไปแล้วไปนั่งหลับตา แต่พค.ให้มาลืมตาปฏิบัติตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่แหละ ซึ่งมีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฏกเล่ม ๑๖ วิภังคสูตร
[] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ  เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน  มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาด แห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและ มรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ
                ถ้าเราดับชาติได้ ชรา มรณะก็ไม่มีแล้ว เราเอาคำว่าชาติให้สำคัญ
[] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง  เกิด  เกิดจำเพาะ  ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ
ซึ่งที่เขาแปลมามันให้ความหมายได้ไม่ชัดเจน ต้องดูพระบาลี จึงจะทำให้แยกแยะสภาวะได้ชัดคือ
๑.      ชาติ  แปลว่า ความเกิด
๒.    สัญชาติ คือความบังเกิด
๓.     โอกกันติ คือ เขาแปลว่า ความหยั่งลง พค.แปลว่า ความเกิดที่ต่อเนื่องตรงข้ามกับคำว่า ขณิกะ(คือขณะ) แต่ถ้ามันต่อเนื่องไม่มีขาดคือผู้บรรลุสูงสุด ไม่มีตัวอกุศลมาคั่น จะมีแต่กุศลต่อเนื่องไม่ขาดสาย
๔.     นิพพัตติ คือ ใกล้กับคำว่า นิพพาน คือการเกิดอย่างลดกิเลสได้ อันหนึ่งตายอีกอันหนึ่งเกิด อกุศลจิตตาย กุศลจิตก็เจริญขึ้น นักวิทยาศาสตร์เขาเถียงกันว่า แสงเป็นควันตัม กับ แสงเป็นโฟตอน ซึ่งทั้งไม่ขาด และไม่เป็นก้อน แต่ต่อเนื่องกันไป นิพพัตติ คือการเกิดในจิตที่เรียกว่า “โอปปาติกโยนิ”
๕.     อภินิพพัตติ ท่านแปลว่า เกิดจำเพาะ แต่พค.แปลว่า “เกิดสูงสุด” คือมันเกิดอย่างแข็งแรงถาวร อภิคืออย่างยิ่ง อย่างยอดเยี่ยม เราจะเห็นอาการเหล่านี้เกิด
ถ้ารู้สภาวะก็จะอ่านรู้ได้ มีอนุปัสสี ตามเห็นกิเลสจางคลาย ตามเห็นมันดับ จะทำทนทำซ้ำ รักษาผล อาเสวนาภาวน พหุลีกัมมัง ให้เกิดผลเช่นนี้ ทำเกิด ทำดับได้ ทำภาวนาคือให้เกิดผล ทำให้มากแล้วก็อ่านจิตให้แข็งแรงมั่นคง
                 [] ก็ภพเป็นไฉน ภพ ๓ เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ    นี้เรียกว่าภพ ฯ
ถ้าปฏิบัติจนเข้าถึงโลกุตรภูมิได้ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค คุณก็จะเหนือโลก อยู่กับโลก แต่กิเลสทำอะไรคุณไม่ได้  ซึ่ง ในโลกุตรภูมิ ๙ มี โสดาฯมรรค โสดาฯผล สกิทาฯมรรค สิกทาผลฯ อนาคาฯมรรค อนาคาฯผบ อรหัตมรรค อรหัตผล และนิพพาน
ในกามาวจรภูมิ คือชั้นหรือระดับที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในกามภพ เรียกว่า กามาวจรภูมิ อวจรคือมันยังอยู่คือยังดำเนินบทบาทลีลาอยู่กับโลกกาม แต่อยู่เหนือโลกกาม
กามรส คือรสของกาม คือจิตที่ยังเสพอยู่ ยังมีอาการรสชอบชื่นใจเสพสุขในกามรส เราสัมผัสก็จะอ่านกามรส ไม่ได้หมายความว่ากามคือตาบอด กามคือไม่มีความใคร่อยาก ไม่มีการเห็นทางตา หู จมูกลิ้นกาย เห็นเป็นกามโทษ คือมันมีตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส จมูก กาย ก็มีความชื่นใจชอบใจ ความชื่นใจก็คือทวารที่ ๖ คือใจ ก็มาจากทวารทั้ง ๕ นั่นแหละเป็นอุปาทายรูป หรือเป็นวิญญาณเลย พอชื่นใจก็เป็นเทวดาสุขขัลลิกะ  คือมีกามรส
ต่อมาคือกามานุสารีย์ คือผู้มีใจเยื่อใยใฝ่กามอยู่ ยังมีน้องแน้ง จนกว่าจะเรียนรู้ลดละได้นึกว่ามันจะขาด มันก็ยังมีน้องแน้งอยู่ หรือมันตามติดเลยไม่ขาด คุณก็ต้องรู้ตัวว่าเรานี่มันตามแจ หรือมันลดลงเหลือเพียงพริ้วพราย ถ้าใช้อนุสารีย์ แล้วก็ตามมีสาระ
คำต่อมาคือ กามาทิกรณะ หมายความว่า มีกาม มีความใคร่เป็นเหตุให้เกิดเรื่อง เกิดเรื่องอะไรเช่น ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา เอาบ้านเมืองมาให้ได้ เอาแผ่นดินตรงนี้แล้วจะได้ทรัพยากรทางทะเล เป็นเรื่องเพราะยังมีความใคร่อยาก กามทำให้เกิดเรื่อง คนที่หมดกามแล้ว ไม่อยากไปมีเรื่อง
ต่อมาคือ กามาวจรกิริยา คือจิตที่มีกิริยาของอาการเสพกาม      คือกิริยาของกามาวจร ยังอยู่ในแดนของกามคุณ
ต่อมาคำว่า กามาวัฏฏะ คือความวนเวียนอยู่ในเรื่องของกาม พอได้เสพก็สบายก็พักยก แล้วก็มาเวียนเสหใหม่ เกิดเป็นสวรรค์ปลอม นรกจริง วนเวียนไป นรกจริง เพราะมันฝังเป็นอุทาทาน แต่สุขปลอมนั้นมันแค่ชั่วสัมผัส พอเลิกสัมผัสก็หมดไป ฝังเหลือแต่อุปาทาน ทำให้ทุกข์จริง ฝันเองปั้นเองก็เอาแต่ของแห้งมานึกคิดเอาซึ่งไม่ใช่รสจริงๆ
คำต่อมาคือ กามาวจรวิปาก คือเป็นผลของกามาวจร คือมั่นสั่งสม เป็นผลตากเป็นกามภพ ก็เกิดจากการบำเรอ ตกเป็นวิบากสั่งสมไป เรารวยกามจนเต็มถัง มันใหญ่ หนาอ้วนโต คุณจะรู้ว่าเราสั่งสมกาม
ต่อมาเป็นกามุปาทาน ก็มันยึดไว้ ถ้าภาษาปากก็ว่ายึดไว้ทำไม่ปล่อยเสียสิ แต่ปล่อยได้จริงไหม 
ถ้าไม่สร้างไฟฌาน ที่แรงพอจะไปละล้างกิเลส ของพพจ.ไม่ต้องไปนั่งหลับตาทำฌาน จะเกิดเมื่อปฏิบัติมรรคคังคะ จะมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีวิจัยวิจารด้วยตน จะรู้แจ้งเห็นจริง จะมีกำลังของปัญญา จนเป็นปัญญาพละเป็นผลระงับกิเลส จึงจะล้างตัณหาได้ ล้างตัณหาได้ก็สามารถล้างอุปาทานไปด้วย เพราะมันเป็นตัวเดียวกัน แต่ต่างสถานะ เหมือนกับที่พูดว่า จิตตัวเดียวกันแต่ต่างสถาน เมื่อล้างอกุศลเสร็จ กุศลก็เกิดทันที การตายการเกิดก็เกิดเนื่องกัน ตายแบบสนิท ไม่กลับกำเริบ ตัณหาก็ขับเคลื่อนออกมาเป็นพลังจลน์ แต่อุปาทานเป็นพลังนิ่ง เป็นพลังงานศักย์ ล้างอุปาทาน ภพก็ดับ ชาติก็ดับ
ดับตั้งแต่สักกายะตัวต้น ตัวกลางไปจนตัวปลายคือ กามาาสวะ เราสิ้นอาสวะเกลี้ยงก็สูงสุดเป็น    “กามาภิพู” คือผู้ชนะกาม คือผู้ครอบงำความใคร่
                [] ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน ๔ เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน   สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ
                 ทิฏฐิคือความเห็น ความรู้ หรือแปลว่าลัทธิเลยก็ได้ ลัทธินั่งหลับตา เพ่งลูกแก้ว พุทโธ ยกมือ ก้าวหนอย่างหนอ ก็ไปติดอยู่ในกสิณนี้ บางอย่างก็มาใช้ได้ แต่เขาไปปรุงแต่งกันมากมาย พพจ.ไม่พาทำเลย แม้แต่คำว่าหลับตา ก็ให้ค้นหาในพระไตรฯว่ามีไหม แต่พค.ไม่เคยเห็น มีแต่ให้ลืมตาปฏิบัติ
                ส่วนวิธีปฏิบัติที่ไปยึด คือศีลพัตตุปาทาน จะต้องแบบนี้ อย่างนี้ ไม่ใช่แบบนี้ไม่ใช้ เช่นยึดนั่งหลับตาเป็นตั้น ซึ่งไม่ใช่สติปัฏฐานสมบูรณ์
                อัตตวาทุปาทานคือยึดติดในวาทะ ได้แค่ภาษายึดเป็นอัตตา (มีโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ) จะมากอยู่ที่มโนมยอัตตาที่รวมอยู่ในกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร ก็รวมในมโนมยอัตตา
                [๑๐] ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา ๖ หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา  คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา
     [๑๑] ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชา เวทนา โสตสัมผัสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา   กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา นี้เรียกว่าเวทนา ฯ
     [๑๒] ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส   โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ ฯ
     [๑๓] ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เรียกว่าสฬายตนะ ฯ
                ผัสสะเป็นนาม เพราะเป็นอาการทางจิต อย่างอวิชชาพอปรุงแต่งก็สุขๆทุกข์ เป็นทาสมัน   ถ้าไม่มีทวารกระทบรูป อายตนะไม่เกิดขึ้น ใจนั้นไม่ต้องกระทบ แต่จะปรุงแต่งมากระทบก็ได้ หรือปรุงอย่างไม่กระทบคือธรรมารมย์  การปรุงแต่งอย่างกระทบทำให้เราอ่านอารมร์ออก เช่นการตรวจอรูป ก็ต้องมีสัญญาอ่านอากาสาฯ วิญญานัญจา อากิญจัญญายตนะ แล้วก็อ่านธรรมารมณ์ต่างๆ ที่เราไปยึดติดความว่าว วิญญาณ ติดนิดน้อย ยึดในเนวสัญญานาสัญญายตนภพ อ่านความยึดความจมในภพนั้นให้ได้ ซึ่งทวารใจมีนัยต่างจากทวารนอก
                ถ้าไม่มีผัสสะ ๖ ก็ไม่มีอายตนะ ๖ ต้องมีอายตนะ (เกิดในขณะมีสัมผัสนอกกับใน มีการกระทบต่อเนื่องเป็นสะพาน อายตนะเกิดขึ้นแล้วก็จะหายไป โดยอัตโนมัติ ไม่มีความตั้งอยู่  มันทำงานเฉพาะที่มีการกระทบนอกและใน มันไม่เกิดขึ้น ไม่ดับไป มันทำงานเฉพาะเมื่อมีเหตุปัจจัย ไม่มีตกค้างที่ไหน หาที่ไหนไม่เจอ จะหาเจอเมื่อมีการสัมผัสทางทวาร เท่านั้น การเกิดนี้เมื่อมีผัสสะ ทางทวาร ๖ จึงจะทำสตัปัฏฐาน ๔ ได้ การปฏิบัติธรรมต้องมี ๖ อย่างนี้จึงเจริญได้สูงสุด
[๑๔] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ  นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่ารูป นามและ รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป ฯ
[๑๕] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ   โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า   วิญญาณ ฯ
เมื่อรู้จักนามรูป และวิญญาณทั้ง ๖ ได้จึงจะรู้ มโนปวิจารณ์ ๑๘ ได้ ถ้านั่งหลับตา ก็ไม่มีมโนปวิจารณ์ ๑๘ คุณไม่ชัดเจนหรอก ว่าเคหสิตโสมนัส เคหสิตโทมนัส เป็นอย่างไร จะไม่รู้เรื่อง เพราะนั่งหลับตาเล่นไปกับจิต ที่มีหลายหลากอาจารย์
[๑๖] ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร ๓ เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร  จิตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร ฯ
                การปฏิบัติธรรมต้องอ่านกายสังขารที่เนื่องจากข้างนอก จิตสังขารคือบทบาทของจิตทั้งหมด วจีสังขารคือมโนกรรมในจิต ยังไม่ออกมาเป็น วาจา กัมมันตะ อาชีวะ
                คนที่ไม่สามารถรู้วจีสังขารจะไม่รู้ตัว แต่พอรู้โดยสัญชาติญาณ ยกตัวอย่างว่าอยากด่า แต่พูดในใจ แต่มีมารยาทยั้งไว้ได้ รู้แต่ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ศึกษาอย่างรู้ ตักกะ วิตักกะ แล้วรู้กามที่มาร่วมปรุง แล้วกำจัดเหตุ ให้มันปราศจากกาม พยาบาท แล้วหรือยัง  แล้วเราจะให้มันออกไปทำงานเมื่อไหร่ จะทำการทางวจี เบาๆ หรือทำทางกายกรรม ประกอบอาชีพ ก็จัดสรรมันได้หมด ในวจีสังขาร เป็นสิ่งสำคัญมาก กายสังขารก็หยาย จิตสังขารก็ละเอียดมากไป ให้จับที่วจีสังขารนี่แหละมีลีลาหลายอย่าง ที่ไม่ใช่แค่พูดในใจ
                ผู้ใดรู้จักสังขารก็มีวิชชา ใครไม่รู้สังขารก็อวิชชา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร คุณก็ปรุงแต่งไปแต่ละวันแต่ละเดือนไป ปรุงเป็นสุขทุกข์ไป งมงายอยู่ไปตลอดกาลนาน  ซึ่งต้นเหตุแรกมาจากการไม่คบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ตามในอวิชชาสูตรมี
๑.การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์
๒.การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
๓.ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
๔.การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ
๕. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น) .เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์
๖. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ.. ทุจริต ๓ (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)
๗. ทุจริต ๓ เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ ๕
๘. นิวรณ์ ๕ เป็นอาหารของ.. อวิชชา 

ไม่มีความคิดเห็น: