วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

560301_ทำวัตรเช้า"ธรรมที่เป็นพุทธ" ตอนที่ ๕


ทำวัตรเช้างานพุทธาภิเษกฯ เรื่อง ธรรมที่เป็นพุทธ ตอน ๕
โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ณ พุทธสถานศาลีอโศก จ.นครสวรรค์ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๖
ลิงค์ mp3 ประจำวันที่ ๑ มี.ค. ๕๖ ดาวน์โหลดได้ที่.. http://bit.ly/YQAid3 

พระพุทธเจ้าท่านให้รู้เหตุที่แท้คือกิเลส จับตัวกิเลสได้ แล้วปหานได้ลดละจางคลายไปตามลำดับ เขย่าบัลลังค์มันได้แล้วคืออนิจจานุปัสสี เราทำให้มันลดได้ใช้ฝีมือ วิขัมภนปหานกดข่มไว้ก็ตาม มีญาณหยั่งรู้เลย กดข่มไว้ก็ตามมารยาท เป็นวิกขัมภนปหานก็ได้ชั่วคราว จนมันเกิดปัญญา เห็นความไม่เที่ยง เห็นรายละเอียดของจิตวิญญาณ มันเกิดแล้วก็ดับ ในพวกที่เขาไม่รู้ตัวจะเห็นเป็นตรรกะฟังตามพยัญชนะภาษาเขาก็เดาเขานับเป็นครั้งๆเลย เขาว่าความเกิดดับๆมันก็เคลื่อนไปเหมือนโฟตอน ไม่เห็นความขาดตอนออกมาเป็นตัวตนเป็นชิ้นๆอันๆ ก็เห็นเป็นสองนัยเห็นมันเคลื่อนมันเกิดแล้วก็ดับอันนี้ก็เป็นตรรกะ ที่จริงก็ใช่แต่มันไม่ใช่เป้าหมาย จิตที่ควรให้ดับก็ทำให้ดับ กุศลก็ควรให้เกิดมีต่อเนื่อง จิตที่เกิดดับคือตัวอกุศลให้มันดับ แล้วเราก็เห็นภาวะอกุศลดับจิตที่มันเกิดก็เป็นจิตเทวดา คือสัตว์นรกตายเทวดาเกิด เกิดอย่างไม่มีซาก อสรีรัง ไม่มีตัวตน เป็นโอปปาติกโยนิ ถ้าไปเข้าใจว่าเกิดดับวินาทีละ ๔ ครั้ง ๕ ครั้งอย่างนี้มันจะเกิดกี่ครั้งก็ตามให้กุศลเกิด อกุศลดับไปก็แล้วกัน

คลิปทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกครั้งที่ ๓๗ ณ ศาลีอโศก ศุ ๑ มี.ค. ๒๕๕๖ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง เริ่ม 04:05 น. ตอน.. "จำแนกขบวนการทำใจด้วยฌาน-วิโมกข์"


            ถ้าพ่อครูหลงไปตามโลก ก็จะเสียดายชีวิตมาก ที่ไม่รู้จักคุณค่า ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบและมาเปิดเผยประกาศ เราก็เคยหลงวิ่งหัวซุกหัวซุนแย่งชิงไปกับเขา ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ ในพวกฤาษีชีไพรเขาก็รู้ว่าไม่ควรสะสมลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ชีวิตเขาไม่เป็นโลกะวิทู โลกานุกัมปา ชีวิตเขาหลุดพ้นได้อย่างเดียว แต่ไม่มีประโยชน์ต่อหมู่ชนเป็นอันมาก การปฏิบัติเขาหนีจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ซึ่งไม่ใช่หลุดพ้นที่แท้จริง

            ผู้บรรลุธรรมเป็นผู้ลืมตาเปิด มีชีวิตอยู่ในกามาวจร แต่หลุดพ้นมาตามขั้นตอน หลุดพ้นอบายเป็นโสดาบันแล้วก็ทำต่อ ลดกามคุณ ลดโลกธรรม ลดอัตตาต่อ โลกเขามีแต่เราหลุดพ้นได้ เรามีอวจรไปกับเขาดำเนินชีวิตไปกับเขานั่นแหละ และก็จะไม่ไปแข่งกับเขาไม่ฉลาดเอาเปรียบ และก็ไม่ได้ลดหย่อนสมรรถนะจิตเป็นโลกะวิทูมากขึ้น และก็เป็นโลกานุกัมปา ช่วยโลก และก็ไม่ใช่ไปสุขแบบบำเรอ เพราะแยกสุขแบบโลกีย์กับรสสุขแบบโลกุตระออก เป็นวูปสโมสุข สุขสงบ ทั้งๆที่เขาเอะอะมะเทิ่ง เหมือนคนโหวกเหวกโวยวาย เหมือนวุ่นวายจุ้นจ้าน มีบทบาท แต่สงบจากโลภโกรธหลง มีแต่วิภวตัณหา อยากช่วยอยากสร้างสรร มีประโยชน์ รู้การประมาณ มีสัปปุริสสธรรม ตามบารมี ตามฐานะ
            พวกเรามาเจอมิตรดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นแสงอรุณ เป็นกัลยาณมิตโต มีจริตขัดแย้งกันบ้าง กิเลสยังไม่หมดก็ขัดเกลากันไปเป็นธรรมดา แต่โดยกฏเกณฑ์หลักๆก็ได้กัน แต่จริตก็มีหลากหลายมีแปลกๆ เราไม่มีก็แล้วไป แต่เขายังมีอยู่ยังติดอยู่ อย่างพระสารีบุตรยังมีกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อยสุภาพเหมือนคนอื่น ถ้าคนติดใจถือก็มี แต่ท่านมีดีมีเก่งและพระพุทธเจ้าก็รองรับ คนก็ไม่กล้าถือท่านมาก มันเป็นวาสนาบารมีติดตัว ทั้งรู้ว่าไม่มีแต่ก็เอาออกไม่ได้ เราต้องเข้าใจสิ่งที่เรายึดถือ มันดีจริง แต่สิ่งดีเขามีเท่าไหร่ สิ่งไม่ดีเขามีเล็กน้อย อย่างเอาขี้หมาไปแลกทองคำ ใครเอาขี้หมาเปื้อนทองคำนิดนึงก็โยนทองคำทิ้ง
            ชีวิตชาติชั่ว ถ้าเรายังมีกิเลสอยู่พาชั่วทั้งนั้น มีหยาบกลางละเอียด คนที่พ้นมาจากหยาบได้ มันก็มีชาติชั่วที่สูงขึ้น (พ่อท่านหยุดไออยู่ ๕ ที) อย่างโสดาบันเราเลิกหยาบมาได้แล้ว ที่เหลือก็คือหยาบของเรา เราละอบายได้แล้วละวิติกมกิเลสได้ เราก็มีปริยุฏฐานกิเลสเป็นอบายของเรา เป็นสกิทาคามีตามลำดับ จนดับกามภพได้แล้ว ที่เหลือคือรูปภพ อรูปภพ ก็เป็นอบายของพระอนาคามี เราชัดเจนของใครของมัน อย่าเอาไปเทียบกัน คนไม่รู้ก็เอาไปเทียบกับกิเลสขั้นสูง (ไออีก ๔ ที) เราละ ดับชาติได้
            ในบทที่ ๓ ชาตินี้ของชีวิต ก็มาเรียนรู้ชาติ
            บทที่ ๔ สิ้นชาติ ก็สิ้นชั่ว หมดชาติที่ชั่ว ก็เหลือแต่ชาติที่ดี เหมือนแม่หมาลูกหมาไปเจอศพ ลูกว่าอยากกินส่วนนั้นส่วนนี้ของศพ แม่ห้ามไม่ให้กินซักอย่าง ก็บอกว่าคนนี่ไม่มีดีอะไรซักอย่าง ตกลง ชาติคนนี่ไม่ดีซักอย่าง หมาเลยบอกว่าชาติหมาดีกว่าชาติคน ยิ่งหัวใจก็ร้ายใหญ่ เป็นบทเรียนที่น่าคิด แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่แค่คิดแต่ท่านเรียนรู้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จนท่านเรียนรู้สัตว์ที่ยิ่งใหญ่เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ คนไม่รู้ก็ผูกสัตว์ไว้ เป็นสังโยชน์ เราเองก็ไม่รู้วิธีแก้ ในข้อ ๙ ของทิฏฐิ ๑๐ ต้องเข้าใจว่าสัตว์ที่ท่านหมายคือสัตว์ทางจิตวิญญาณ(ความเป็นสัตว์คือใจต่ำ) เป็นเทวดาเก๊ มีอาการอย่างไรก็ให้รู้จริงอ่านให้ได้ มันไม่มีรูปร่างเส้นแสงอะไร แต่มันมีอาการ ใครสามารถเห็นสัตว์เหล่านี้ของตนบ้าง.....ยกมือ ........อย่าไปสู่รู้ของคนอื่น รู้ของตนว่ามันกำลังเกิด ก็เห็น ตอนมันไม่เกิดก็ไม่เห็น พระพุทธเจ้าท่านจึงมีอุบายให้มีผัสสะ จึงจะเกิดให้เห็นจริงๆ ผู้ใดยังไม่มีสัมมาทิฏฐิแม้แต่สัตว์โอปปาติกะไปปฏิบัติก็ไม่แท้ พระพุทธเจ้าตรัสว่ามโนนั้น อสรีรัง แล้วตัวอาการเป็นอย่างไรก็ให้ชัดเจน ไม่สงสัย แต่ที่เขาเขียนออกมา เขาจินตนาการว่ามีรูปร่างสีสันตัวตน เราก็ไม่ไปสงสัยด้วย เราชัดเจน
            สัตว์ที่เป็นพรหม เป็นสัตว์ที่บริสุทธิ์จากสัตว์ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นละเอียด หมดเกลี้ยง แม้นิดน้อยนึงก็ไม่เหลือเศษความเป็นสัตว์เลย อากิญจัญยะเลย  แต่จะนั่งหลับตาก็มีประโยชน์
          ในบุคคล ๔ มี
๑. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ         แต่ไม่ได้โลกุตระ
๒. บุคคลผู้ได้โลกุตระ  แต่ไม่ได้เจโตสมถะ . นี่คือแบบพุทธสายปัญญา
๓. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ         และได้ทั้งโลกุตระ
๔. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ
ในฌานลืมตากับหลับตา ผู้รู้พุทธชัดเจน ก็รู้ทั้งสองอย่าง อย่างหลับตาคือแบบทำฌานให้เย็นๆ ไม่ใช่มีฤทธิ์แรงเป็นธาตุไฟที่ไปสลายราคะโทสะโมหะ ในภาษาวิทย์ ความร้อนกับความเย็นอันเดียวกัน ความร้อนมากความเย็นมันก็หายไป ความเย็นคือความร้อนที่หายไป มันเป็นพลังงานชนิดหนึ่งคืออุณหธาตุคือไฟ เป็นไฟชนิดที่ทำลายกันได้จริงๆ มันไม่มีตัวตน ต้องมีองค์ประกอบจึงทรงความร้อนเย็นได้ เขาพยายามจับมาศึกษาในฟิสิกส์
            เวลาปฏิบัติแบบพุทธ แม้อนาคาฯก็มีกามาวจร มีกระทบทวาร ๕ แต่เรื่องที่จะไปปรุงทางกาม ท่านอยู่เหนือแล้ว กิเลสไม่เกิดแล้ว ก็อยู่ในเมืองนรก เขาปรุงแต่งลาภยศสรรเสริญ ท่านก็อยู่ร่วมด้วย ท่านก็อนุโลมกับเขาได้ อยู่กับโลกได้ ก็พาไปเรื่อยๆอยู่แล้ว ในแดนมหาอเวจีใหญ่ นรกใหญ่หลุมคอรัปชั่นใหญ่อย่างรัฐสภาซักวันก็จะพาไป ยิ่งกว่าบ่อนการพนันนรกมหาศาล
            ฌานลืมตา สมาธิลืมตา ก็ไม่ได้ไปดูแคลนสามาธิหลับตา แล้วก็ทำฌานให้เป็น ฌานคืออะไร? คือปัญญา ยิ่งเป็นฌานยิ่งมีปัญญา เป็นคำตรัส พระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีปัญญาไม่เรียกฌาน เป็นพลังปัญญา ที่สามารถสลายธาตุที่ไม่ดีได้อย่างแท้จริง แต่จะนั่งหลับตาเป็นอุปการะก็ได้ เรียนรู้ตามเขาได้ ก็มีประโยชน์ การนั่งสมาธิได้ประโยชน์มีสี่อย่าง คือ
๑. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต
๒. ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์  ใช้ศึกษาปั้นมโนมยอัตตาก็ได้ ไว้ศึกษา
๓.   เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี .
๔.   สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ  เอาไปใช้เป็นฤทธิ์เดช พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสิรม แต่ก็มีได้จริง คนจะหลงติดได้ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ มันเก่งกว่าคนธรรมดาคนก็หลงติดง่าย ถ้าอยากมีให้เป็นอรหันต์ก่อน และจะสร้างได้ง่ายกว่า ปางนี้ตอนเป็นฆราวาสพ่อครูก็ฝึกอยู่แต่มาบวชแล้วไม่ใช้เลย ในยุคนี้ไม่ต้องใช้เลย
            ในวิญญาณฐีติ ๗ ต้องดูความแตกต่างทางนามธรรม หรือจิตวิญญาณให้ออก ในเรื่องกายนอกก็ดูออกง่าย ในจิตนั้นแยกยากกว่า มันเป็นองค์ประชุมมีทั้งเทวดาและสัตว์นรก ที่ส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่า เทวดา สัตว์นรกเป็นสิ่งนอกตัวมีรูปร่าง แต่พอมาเรียนรู้ถูกต้องก็รู้ว่า มันเป็นอุปาทายรูปที่เนื่องมาจากการกระทบทวาร แม้จะกระทบรูปหมาภายนอก แล้วเกิดเห็นรูปหมาภายในใจ มันก็ไม่ใช่รูปธรรมภายนอก เรียกว่าเป็นนามกาย และมันไม่เที่ยงได้ยิ่งกว่ารูปนอก สิ่งภายนอกมหาภูตรูปนั้น มันคงที่กว่า แต่ที่จำไว้ในใจนั้นไม่เที่ยงกว่าข้างนอก บางคนจำได้ชัด บางคนจำได้ไม่ชัด แล้วแต่ใครจะกำหนดได้ชัดกว่า แต่ทั้งหมดไม่ใช่สิ่งภายนอกนี้แล้ว
ในสัตตาวาส ๙ ข้อ ๑ และวิญญาณฐีติข้อ ๑ มี
๑.     สัตว์บางพวก กายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะบางเหล่า คือเราเห็นรูปนอก ว่าต่างกัน แล้ว แต่การกำหนดสัญญาภายในเป็นอุปาทายรูปภายในก็ไม่เหมือนกันอีก ขนาดฝาแฝดยังไม่เหมือนกันหมดเลย 
๒.     สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น เช่นคนเรารู้จักคนนี้ เช่นคุณยิ่งรัก(ตั๊ก) ให้หลับตาลงแล้วให้สร้างภาพยิ่งรักในจิตก็ไม่เหมือนกันในแต่ละคนที่สร้างภาพยิ่งรักในจิต
และยกตัวอย่างคนหลับตาสมาธิฌาน กับคนลืมตาสมาธิฌาน
เรามีจุดมุ่งหมายจะทำฌาน เหมือนกัน แบบฤาษีก็ทำฌาน แต่กายที่ได้ต่างกันหมดเลย ไม่ว่าอาจารย์เดียวกันหรือคนละสำนัก เช่นเขาสัญญาอย่างเดียวกันว่า ปฐมฌานจะต้องไม่มีนิวรณ์ แต่เวลาคุณนั่งแล้วในจิตไม่มีนิวรณ์ แล้วความเคร่งคุม มันจะไม่เท่ากัน แล้วอารมณ์สภาพ ความคิด ก็จะต่างกันไป
            ในโลกุตระลืมตาด้วยมีฌาน๑ ไม่มีนิวรณ์ เห็นกายต่างกัน อย่างน้อยลืมตา ถีนมิทธะก็ไม่เหมือนแน่ ลืมตานั้นกามกับพยาบาท จะเกิดอาการแท้ เกิดกามชัดกว่าและไม่มีกามก็จะชัดเจนกว่าพวกลืมตาว่าเราไร้กามแน่นอน สภาพจะไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ไปนึกเอากำหนดเอาเองอย่างพวกหลับตา
            ฌานพุทธมีโลกะวิทูด้วย และโลกุตระคือไม่มีนิวรณ์แน่นอน แต่เรามีโลกะวิทูในโลกภายนอก แต่พวกหลับตาก็มีโลกะวิทูแต่ภายใน และลีลาบทบาท ของฤาษีก็มีแต่นั่งหลับตา แต่ของพุทธจะรู้ร่วมไปกับโลก รู้วรยุทธ์ต่างๆ รู้ว่าโลกจะกระแทกเราลีลาไหน เราก็จะทำฌานให้ได้แข็งแรงๆได้มากขึ้นๆ ดังนั้นฌานของพุทธกับฤาษีจึงต่างกัน
            ฌานของวิโมกข์นั้น ข้อ ๑-๓ เป็นรูปฌาน  และข้อ ๔-๗ เป็นอรูปฌาน ข้อ ๘ คือสัญญาเวทยิตนิโรธ  วิโมกข์ ๘
๑. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) คือเห็นก็คือไม่ได้หลับตา ปิดจมูกหู คือมีรูป แล้วเราก็เห็นรูปทั้งหลาย อย่างไม่หลับตา
๒. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (๑๐/๖๖)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ) . เอโก พ่อครูแปลว่าโดยส่วนตนที่มีการรู้การเห็นสัมผัสที่มีทวารทั้ง ๖  ส่วนอัชฌัตตังแปลว่าภายในเหมือนกัน ส่วน คำว่า อรูปสัญญี พ่อครูแปลว่า ไม่ใส่ใจในอรูป และก็พหิทธารูปานิ ก็คือรูปนอกก็ไม่ให้ทิ้ง ให้เห็นทั้งรูปภายนอกภายในต่อเนื่องกันหมด นี่คือรู้นาม-รูป
เราจะรู้ทั้งภายนอกภายในละเอียดไปตามลำดับ วิโมกข์ข้อนี้คือตัวเนื้อของการปฏิบัติธรรม
๓. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อท่านแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)  สุภะ+อันตะ คือเจริญขึ้นดีขึ้น อย่างไม่มีที่สุดเลย(พ่อท่านไออีก ๕ ที)
ในข้อ ๓ ของวิญญาณฐีติคือ
๓.     สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่น พวกเทพอาภัสราพรหม  (ว่าง..ใส.. สว่าง.. แผ่กว้าง) เช่นอาภัสสรา การจะได้รับแสงสว่าง ตอนลืมตาก็จะเห็นแสง ตอนหลับตา คุณก็จะเอาแสงอย่างนี้เข้าไปข้างในหลับตาให้เห็นแสง ก็ได้แสงต่างกันไป เป็นสัญญากำหนดความสว่างภายใน  ก็สัญญาว่าแสง แต่จะไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน จะอาภัสสราคนละอย่างกัน  อย่างในวิโมกข์ข้อ ๓ นั้นบอกคุณภาพ เป็น สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ คือเจริญไปสู่สิ่งที่สูงสุด เป็นรูปฌาน แล้วจะตรวจสอบในอรูปฌานในวิโมกข์ข้อ ๔-๘ ส่วนสูงสุดในรูปฌานฤาษีจะเหมือนกันหมด คือเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ เป็นสัตว์ดับดิ่ง สุภกิณหะ หรืออาภัสสรา เป็นสายมืดกับสายสว่าง สำหรับพวกนั่งหลับตา สายสว่างเขาก็นั่งสบายๆเบาๆนุ่มๆ ไม่ต้องไปอยากได้เดี๋ยวมันมีเอง ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็มีใสโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ฯจะไปถึงใสพระพุทธเจ้า  คือกายอย่างเดียวกันคือใสแต่ก็ใสต่างกันคือสัญญาต่างกัน สุดท้ายไปเจอพระพุทธเจ้าต่างกัน มีหัวปุ้มกับหัวแหลม ก็เลยมีธรรมกายสองอย่าง ก็เลยทะเลาะกัน  
เมื่อหลับตาไม่มีแสงสว่างแล้วแต่ก็ไปปั้นให้มีแสงสว่าง สร้างใสสว่างกันเอง มันปั้นก็เป็นมโนมยอัตตา ได้ใสใครใสมัน กำหนดกายว่าอย่างเดียวกันคือใส แต่ไปสำเร็จด้วยสัญญามันสร้างขึ้น
๔.     กายอยางเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน เช่นพรหมสุภกิณหา กิณหะคือความดำความมืด ยิ่งหลับตามืดแล้วก็ไปดับมันให้มืดต่อไปอีก ก็สัญญาว่านี่คือนิโรธ แต่อย่างพุทธมีดับไม่เหลือ แต่ลืมตาสว่าง และไม่มีแสงเลย ไม่มีเพราะมีทิพยโสติ มีตาทิพย์ สีแดง ตาของทุกคนก็เห็นแดง แต่คนทั่วไปก็จะมีแดงสวย ชอบแดง คนไม่ศึกษาก็อ่านไม่ออก แต่คนที่ศึกษาจะรู้จะเห็นรูปทิพย์ว่าเป็นความชอบ  เป็นความปรุงแต่งนอกเหนือของแท้ คนตาทิพย์จะรู้แล้วก็ไม่ไปปรุงแต่งร่วมด้วยให้ทุกข์ 
อย่างสุภกิณหะมีสัญญาอย่างเดียวกันคืออย่างดับอย่างมืดเหมือนกันแต่ได้มาคนละการดับ ของฤาษีได้มืดได้บอด แต่เราทำให้ดับในสิ่งควรดับให้หมดในสิ่งที่ไม่ควรมี ให้ดับมืดไปหมดเลย  เขาไปได้มืดเขาก็ว่าดี ของเราได้ทั้งมืดทั้งสว่าง เป็นอมตะบุคคล เป็นอตัมยตา ทำให้มืดก็ได้ทำให้สว่างก็ได้ เช่นเราจะหลับตาทำให้มืดก็ได้ทำให้สว่างก็ได้ เพราะเข้าใจแล้ว ผู้ที่มีเจโตสมถะและโลกุตระทำได้หมดเลย แต่คนที่ได้แต่โจโตสมถะทำได้แต่ความมืด แต่อย่างลืมตาทำให้สว่างได้อย่างลืมตาเลย เพราะคนนี้มีมรรคผล (โลเกอัตถิตา น โหติ) ผู้ที่บุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงแล้วความมีในโลกย่อมไม่มี  คือมีโลกนิโรธ อยู่กับโลกแต่เหนือโลก ไม่มีอะไรก็ไม่มีโลกสมุทัย ดับได้เกลี้ยงสนิท โลเกนัตถิตา คือความดับ โลเกอัตถิตาคือความมีมรรคผล อนาคามีจึงจะมีโลกนิโรธได้ ในโลกๆเขาอธิบายว่าอนาคามีสามารถเข้านิโรธได้ ซึ่งจะเอาการนั่งหลับตาไปวัดไม่ได้
ที่ตั้งข้อสังเกตุว่าการปฏิบัติปฏิจจสมุปบาท ท่านให้ปฏิบัติในทวารทั้ง ๖ ท่านเอาหมวด ๖ มาใช้ทั้ง ตัณหา วิญญาณ เวทนา ก็ชี้บ่งว่าท่านให้เรียนรู้ปฏิบัติแบบลืมตา ๖ ทวารทั้งสิ้น แม้เป็นอนาคามี ถึงอรูปฌานก็ลืมตาปฏิบัติ สัมผัสหลัดๆ อนาคามีท่านก็เห็นว่ารูปราคาะ อรูปราคะ แต่คนที่ไม่ถึงจะไม่เห็นอ่านไม่ออก ท่านดับรูปหมดแล้วก็เหลืออรูป ก็ยังลืมตาสัมผัส เปิดทวาร ๖ อยู่ในรูปาวจร อรูปาวจรก็มีการปฏบัติมรรคองค์ ๘ ไม่ได้หยุดกรรมกิริยาวาจาอาชีพเลย จะไปเตวิชโชตรวจ ลงบัญชีก็ให้ทำบ้าง เราขาดทุนหรือกำไร ผ่านมามีผลได้ผลเสียอย่างไร เห็นการเกิดดับกิเลส ทำให้จิตอกุศลดับ กุศลไม่ต้องดับ แต่จะให้ดับให้พักก็ได้ คืออมตะบุคคล สามารถกำหนดให้จิตเราปรุงอย่างไรก็ได้ เป็นผู้อปุญญาภิสังขาร ทำสสังขารได้ให้เหมาะควร และปรุงอย่างไม่ได้เสพรส ให้จิตทำงานทำประโยชน์ไป ............จบ

ไม่มีความคิดเห็น: