ตอน.. "ทำวิญญาณอะไรดับอย่างตั้งมั่นเ ป็นสมาธิ"
บันทึกย่อพ่อเทศน์ เรียนอิสระฯ FMTV บ้านราชฯ
พุธ ๒๘ มี.ค. ๒๕๕๕ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง เริ่มเวลา 18:02 น.
บันทึกโดย : ใจแปลง สู่แดนธรรม
ที่มา : http://www.facebook.com/groups/188545584512043/permalink/374815292551737/
พ่อท.ยังจะอธิบายอยู่ในเรื่อง โอปปาติกสัตว์ทำวิญญาณดับกันอย่ างไร โอปปาติกะสัตว์นั้นคือจิตวิญญาณ โดยตรง เป็นเรื่องของวิญญาณในคนเป็นๆ ที่ยังไม่ตาย
ท่านฟ้าไทเปิดรายการ บอกให้ตั้งใจดีๆ อนาคตจะมีข้อมูลเหล่านี้ไปพิจาร ณาทำตนเองให้บรรลุธรรม วันนี้พ่อท่านจะตั้งใจอธิบายให้ ละเอียด คำว่าวิญญาณดับนั้น ดับอะไร ดับโอปปาติกะที่เป็นสัตว์นรก เปรต หรือเดรัจฉาน
มีวิธีปฏิบัติที่จิต ทำให้จิตเกิดเป็น “สัมมาสมาธิ” เป็นสมาธิของพระอาริยะ เป็นสมาธิพิเศษของพุทธ ไม่ใช่สมาธิดาษดื่นทั่วไปแบบของ สาธารณะ แม้แต่ชาวพุทธไทยเองก็ยังไม่เข้ าใจสมาธิแบบนี้ ส่วนมากมักไปหลงยึดมั่นว่า สมาธินั้นคือ การทำจิตให้หยุด สงบนิ่งรวมลงเป็นหนึ่ง (Concentration) หรือพอจิตมีพลังอำนาจจากความสงบ แล้ว จึงนำเอาพลังไปใช้ตามความสามารถ (Meditation) แท้จริงแล้ว สมาธิของพุทธเป็นพลังอำนาจที่ จิตไม่มีกิเลส สามารถสร้างประโยชน์และทำความสุ ข ให้เกิดแก่มหาชนได้ อย่างชนิดที่ เชิญชวนให้ชาวโลกมาพิสูจน์ดูควา มเป็นอาริยะนี้ได้
พ่อท่านอ่านในสิ่งเรียบเรียงมาใ หม่ ว่า สมาธิคือจิตตั้งมั่นแบบพุทธนั้น แตกต่างจากจิตตั้งมั่นของสมาธิท ั่วไปอย่างไร ... ฯลฯ อ่านแล้วพ่อก็อธิบายซ้ำอีกว่า สมาธิของพุทธ คือ จิตตั้งมั่นโดยมีความหลุดพ้น(วิ มุติ) แล้วยังมีคุณสมบัติของญาณที่รู้ ว่า จิตได้สภาวะวิมุติ มีวิชชาที่รู้แจ้งในการหมดสัตว์ ในปฏิจจสมุปปบาท ไม่มีโสกะ ปริเทวะ
จิตตั้งมั่นแบบพุทธนั้น มีนัยยะที่รู้ความหลุดพ้นไปจากก ารติดยึด (ยึดติดสุขในอารมณ์ที่ปรารถนา) ได้สมาธิแล้วแม้ใครจะก่อกวน จิตก็ไม่เคลื่อนออกจากความสงบโด ยปกติ จะไม่โกรธเพราะเสียอารมณ์ จะไม่เป็นแบบฤาษีตาไฟแน่นอน
ญาณคือปัญญาที่ไปรู้วิมุติ รู้ทั้งเจโตวิมุติคือจิตหลุดพ้น ไปจากอกุศลจิต และรู้ทั้งปัญญาวิมุติ ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ในเจโตวิมุตินั้นๆ ส่วนปัญญาที่ยังไม่วิมุตินั้น ก็เป็นปัญญาของคนที่ยังไม่มีเจโ ตวิมุติ เพราะจิตไม่มีวิมุติที่จะมาเป็น รูปให้ปัญญารู้ เป็นคนที่ไม่ติดไม่ยึดนั้นๆ อีกแล้ว ไม่เกิดสุขอีก ไม่เกิดทุกข์อีกแล้ว
การถูกโลกมอมเมา หลอกให้หลงสุขไปชั่วคราวนั้น พ่อครูเรียกว่า ลิงลมอมข้าวพอง ที่ยังไม่ได้พ้นความหลง จนกว่าจะมาเป็นตัวของตัวเอง จึงจะรู้ความจริงในความเป็นจริง ว่า รสสุขที่หลงติดอร่อยมันไม่มีหรอ ก แต่ก็รู้จักรสแท้ๆ ตามรสธรรมชาติของมัน
พ่อท่านทบทวนการปฏิบัติให้เกิดส ัมมาสมาธิอีกครั้ง คือ ปฏิบัติจากมรรคทั้ง ๗ ที่เป็นเหตุและเป็นองค์ประกอบให ้เกิด ซึ่งไม่ใช่เหตุหรือองค์ประกอบจา กการไปนั่งหลับตาสมาธิ
พระพุทธเจ้าให้ทำใจใหม่ เข้าใจใหม่ เปลี่ยนทิฏฐิใหม่ไปตั้งแต่ข้อที ่ ๑ คือ การทำทาน ให้มีผลไปถึงนิพพาน ๒.การมียัญพิธี หรือวิธีปฏิบัติกระทำใจให้มีผล ไม่ใช่ไปแบ่งศีลสมาธิปัญญา ให้มันแยกออกจากกัน ฯลฯ ... (การเข้าใจดีแล้ว จะไม่โกรธเกลียดคนที่มาทำไม่ดี ต้องรู้จักสอนโดยแทรกยาดำเข้าไป ไม่ให้กิเลสอัตตามานะมาปิดกั้น)
ทิฐิทั้ง๑๐ เป็นประธานของมรรคให้สัมมาทิฐิ ถ้าคุณเริ่มต้นก็ยังมิจฉาทิฏฐิ ก็ย่อมไม่รู้จักโลกนี้ โลกหน้า ที่ผู้มีสยังอภิญญามาบอกมาสอน ย่อมทำทานไม่มีผลได้นิพพานเพราะ กระทำใจไม่เป็น ฯลฯ
ปัญญาที่รู้ผิดรู้ถูกตามสมมุติส ัจจะสามัญของโลก ไม่ใช่การปรุง คุณดับวิญญาณที่หลงสุขลงได้ พ้นการเป็นสัตว์ชั้นต่ำ พ้นการโกง ไม่มีฉ้อฉล ไม่ต้องมีความจำเป็นที่จะให้เด็ กป.๑ ใช้แทปเล็ตเรียน ได้ข่าวว่าไปซื้อรุ่นที่มันไม่ค ่อยดี จะต้องมีอั๊พเดทใหม่เรื่อยๆ ดังนั้น คนที่เขารู้บาป เขาก็จะไม่อยากร่วมสร้างกรรม ทุกวันนี้ คนเราไม่ค่อยจะรู้ว่าสร้างบาปกร รมเท่าไร พพจ.จึงแบ่งให้พระโสดาบันรู้การ ละบาปได้ 25% ก่อน ทำให้วิญญาณดับความเป็นสัตว์อบา ยไปได้ก่อน 25%
ทิฐิ๑๐นั้น ข้อที่รู้ยากก็คือ ๕.โลกนี้ ๖.โลกหน้า(ปรโลก) ๗.แม่มี ๘.พ่อมี ๙.สัตว์โอปปาติกะมี ซึ่งเป็นธรรมะขั้นปรมัตถ์ ไม่ใช่ตัวตน แม่พ่อที่ว่านี้ คือพ่อแม่ของโอปปาติกสัตว์ ที่จะช่วยกันสร้างให้จิตเกิด(อุ ปัตติเทพ) เพราะได้ทำให้จิตดับอบาย ดับสัตว์ชั้นต่ำออกมาได้
พ่อท่านอ่านต่อ และขออธิบายการเกิดผัสสะ เฉพาะที่เกิดจากทวารนอกทั้ง ๕ มีวิญญาณโอปปาติกะเกิดเป็นสัตว์ ขึ้นได้เพราะ มีอายตนะ๑๐ (ขอละเว้นทวารใน หรืออายตนะ๒ภายในไปก่อน) พ่อท.พูดถึงคนตายไป ไม่สามารถมีทวารใดๆ มาสนองความอยาก ให้บรรเทากามคุณ ๕ ลงไปได้ คุณจะตกนรกขนาดไหน คิดดูซิ ยิ่งคุณยังไม่ได้เป็นพระอนาคามี เมื่อคุณอยากใคร่ได้กามคุณ ๕ คุณก็ต้องดิ้นรนหาทางได้เสพ แต่ขณะตายคุณก็ไม่มีตา (จักขุวิญญาณ) ไม่มีหู (โสตวิญญาณ) ฯลฯ เป็นทางออกให้ได้รับการบำเรออยา ก คุณจะดิ้นรนเร่าร้อนมาก เพราะคุณไม่มีช่องทางให้ได้ผัสส ะ แต่คุณยังมีกามใคร่อยากได้เสพอย ู่
ไม่เหมือนพระอนาคามี ที่ท่านสามารถดับวิญญาณความใคร่ อยาก จากอายตนะภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้แล้ว ท่านจึงไม่ดิ้นรนเร้าร้อนเพราะว ิญญาณนั้น ไม่เกิดเป็นสัตว์ที่ใคร่อยากอีก แล้ว คุณเป็นอนาคามีที่จะรู้ไปถึงขั้ นอรูปราคะ ในอรูปภพ จิตคุณมีหิริ โอตตัปปะ ไม่เอา .. พิจารณาจนจิตมีตาทิพย์เห็นความป ราศจากเศษอรูปราคะ เศษอุทธัจจะ เศษมานะสังโยชน์ เข้าศึกษาอรหัตตมรรค จนพ้นอวิชชาสังโยชน์ รู้ความพ้นสิ้นแล้วซึ่งการเกิดส ัตว์ทั้งหมด ไม่ผูกล่ามสัตว์ไว้ในสัญโญชน์ คุณจะรู้คุณค่าสัจจะของอาริยธรร ม จะไม่มัวประมาทหลงทำเล่น
พ่อท่านสอนการรู้จักแบ่งทำเป็นร ะยะ 25% 50% 75% จนเห็นตถตาด้วยตนเอง จนรู้เห็นความไม่มีเหลืออยู่ในอ ัตตาเลย ตั้งแต่ยังมีชีวิตเป็นๆ อยู่ มีจิตสะอาดเป็นอมตะบุคคล จะตั้งปรารถนาต่อ หรือไม่ตั้งจิตต่อ ก็ทำเป็นตั้งแต่โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ แล้ว
มีผู้ชมทางบ้านเขียนมาเรื่อง มีผู้ส่ง sms โต้ตอบกันไปมา จนเห็นว่าเอาแต่คุยกัน ไม่สนใจฟังพ่อท่านอธิบาย (พ่อท.ว่า อย่าไปปรุงร่วมกับเขา จนถูกเขาปั่นหัวให้ลงนรก ขึ้นสวรรค์ ยกเว้นผู้ที่ท่านบรรลุแล้ว ท่านก็ย่อมลงทุนปรุงแต่ง สร้างกายกรรมเป็นท่าทาง สื่อสอนเป็น “นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ” ของท่าน)
ผู้บรรลุกับผู้ไม่บรรลุ ก็ย่อมทำกายกรรมอย่างเดียวกัน ผู้ชมทางบ้านแม้ไม่รู้ว่าใครปรุ งอย่างมีกิเลส หรือใครปรุงโดยไม่มีกิเลส คุณก็เอาที่ตัวเอง อย่าเกิดอกุศลไปกับสิ่งที่เห็นไ ปตามอาการการปรุงนั้น .. คนหลอกคนอื่นว่าไม่มีกิเลส เขาก็จะมีอากัปกิริยาที่มีกิเลส ออกมาจนได้ ส่วนพระอรหันต์ที่แสดงไปตามบทบา ทนั้น จะแตกต่างกับตอนที่ท่านเป็นตัวข องตัวเอง คนที่อยู่ด้วยก็จะเห็นพฤติกรรมอ ยู่นั่นเอง คนที่อยู่ร่วมด้วยจะเห็น แล้วจะเชื่อไปตามอาการ หรือไม่เชื่อ ก็จะจับได้
พ่อท่านเวลาบรรยายธรรมะ จะขึงขังเอาจริงเอาจังมาก แต่เวลาอยู่กับตัวของตัวเอง ก็จะเป็นอีกคนหนึ่ง คือ เล่นไปกับสมมุติสัจจะ พระอาจารย์ที่ไม่กล้าสอนละเอียด ๆ นั้น มีอยู่สองนัยคือ ๑. ไม่รู้จริง ๒. แม้รู้ก็ไม่อยากบอกหมด เพราะกลัวว่าเขาจะมาจับผิดในตอน หลัง
ท่านเดินดินสรุปว่า พระพุทธเจ้าตรัส ทวารทั้ง ๖ ก็จะมีสัตว์ทั้ง ๖ อยู่ ตัวไหนมีกำลังมากมันก็จะลากลงไป สู่ที่อยู่ของมัน
บันทึกย่อพ่อเทศน์ เรียนอิสระฯ FMTV บ้านราชฯ
พุธ ๒๘ มี.ค. ๒๕๕๕ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง เริ่มเวลา 18:02 น.
บันทึกโดย : ใจแปลง สู่แดนธรรม
ที่มา : http://www.facebook.com/groups/188545584512043/permalink/374815292551737/
พ่อท.ยังจะอธิบายอยู่ในเรื่อง โอปปาติกสัตว์ทำวิญญาณดับกันอย่
ท่านฟ้าไทเปิดรายการ บอกให้ตั้งใจดีๆ อนาคตจะมีข้อมูลเหล่านี้ไปพิจาร
มีวิธีปฏิบัติที่จิต ทำให้จิตเกิดเป็น “สัมมาสมาธิ” เป็นสมาธิของพระอาริยะ เป็นสมาธิพิเศษของพุทธ ไม่ใช่สมาธิดาษดื่นทั่วไปแบบของ
พ่อท่านอ่านในสิ่งเรียบเรียงมาใ
จิตตั้งมั่นแบบพุทธนั้น มีนัยยะที่รู้ความหลุดพ้นไปจากก
ญาณคือปัญญาที่ไปรู้วิมุติ รู้ทั้งเจโตวิมุติคือจิตหลุดพ้น
การถูกโลกมอมเมา หลอกให้หลงสุขไปชั่วคราวนั้น พ่อครูเรียกว่า ลิงลมอมข้าวพอง ที่ยังไม่ได้พ้นความหลง จนกว่าจะมาเป็นตัวของตัวเอง จึงจะรู้ความจริงในความเป็นจริง
พ่อท่านทบทวนการปฏิบัติให้เกิดส
พระพุทธเจ้าให้ทำใจใหม่ เข้าใจใหม่ เปลี่ยนทิฏฐิใหม่ไปตั้งแต่ข้อที
ทิฐิทั้ง๑๐ เป็นประธานของมรรคให้สัมมาทิฐิ ถ้าคุณเริ่มต้นก็ยังมิจฉาทิฏฐิ ก็ย่อมไม่รู้จักโลกนี้ โลกหน้า ที่ผู้มีสยังอภิญญามาบอกมาสอน ย่อมทำทานไม่มีผลได้นิพพานเพราะ
ปัญญาที่รู้ผิดรู้ถูกตามสมมุติส
ทิฐิ๑๐นั้น ข้อที่รู้ยากก็คือ ๕.โลกนี้ ๖.โลกหน้า(ปรโลก) ๗.แม่มี ๘.พ่อมี ๙.สัตว์โอปปาติกะมี ซึ่งเป็นธรรมะขั้นปรมัตถ์ ไม่ใช่ตัวตน แม่พ่อที่ว่านี้ คือพ่อแม่ของโอปปาติกสัตว์ ที่จะช่วยกันสร้างให้จิตเกิด(อุ
พ่อท่านอ่านต่อ และขออธิบายการเกิดผัสสะ เฉพาะที่เกิดจากทวารนอกทั้ง ๕ มีวิญญาณโอปปาติกะเกิดเป็นสัตว์
ไม่เหมือนพระอนาคามี ที่ท่านสามารถดับวิญญาณความใคร่
พ่อท่านสอนการรู้จักแบ่งทำเป็นร
มีผู้ชมทางบ้านเขียนมาเรื่อง มีผู้ส่ง sms โต้ตอบกันไปมา จนเห็นว่าเอาแต่คุยกัน ไม่สนใจฟังพ่อท่านอธิบาย (พ่อท.ว่า อย่าไปปรุงร่วมกับเขา จนถูกเขาปั่นหัวให้ลงนรก ขึ้นสวรรค์ ยกเว้นผู้ที่ท่านบรรลุแล้ว ท่านก็ย่อมลงทุนปรุงแต่ง สร้างกายกรรมเป็นท่าทาง สื่อสอนเป็น “นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ” ของท่าน)
ผู้บรรลุกับผู้ไม่บรรลุ ก็ย่อมทำกายกรรมอย่างเดียวกัน ผู้ชมทางบ้านแม้ไม่รู้ว่าใครปรุ
พ่อท่านเวลาบรรยายธรรมะ จะขึงขังเอาจริงเอาจังมาก แต่เวลาอยู่กับตัวของตัวเอง ก็จะเป็นอีกคนหนึ่ง คือ เล่นไปกับสมมุติสัจจะ พระอาจารย์ที่ไม่กล้าสอนละเอียด
ท่านเดินดินสรุปว่า พระพุทธเจ้าตรัส ทวารทั้ง ๖ ก็จะมีสัตว์ทั้ง ๖ อยู่ ตัวไหนมีกำลังมากมันก็จะลากลงไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น