วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

55-3-25 บันทึกย่อพ่อเทศน์ วิถีอาริยฯ


เขียนโดย.. ใจแปลง สู่แดนธรรม
บันทึกย่อพ่อเทศน์ วิถีอาริยฯ FMTV บ้านราชฯ ตอน.. "เรียนรู้วิญญาณดับให้สัมมา"
อา ๒๕ มี.ค. ๒๕๕๕ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง เริ่มเวลา 09:03 น.


พ่อท. ท่านติกขวีโรและท่านฟ้าไทร่วมกันจัดรายการ ท่านฟ้าไทย้อนทบทวนความจำช่วยพ่อว่า วันนี้จะขยายความเรื่องตัณหาทั้ง ๓ ในปฏิจจฯ ผู้ไม่มีตัณหาแล้วจะเป็นอยู่ยังไง ... พ่อท่านเริ่มคำว่า ทิศทางที่กิเลสตายดับ-หรือไม่ตายนั้น จะไปยังไง ... จิตวิญญาณไม่มีตัวตน เพียงแต่อาศัยเหตุปัจจัยในการเกิด เว้นจากปัจจัยมิได้มีเลยจริงๆ ... จิตพระอาริยะท่านจึงยึดจิตไว้แค่อาศัยอย่างสมาทาน เพื่อทำงานให้เกิดกุศลไปเท่านั้น

พ่อท.ขอลัดไปที่ตัวจบคือนิพพานตัวสุดท้ายของมูลสูตร ที่ต่อมาจากอมตะเป็นที่หยั่งลงสู่นิพพาน เมื่อท่านนิพพานแล้ว(ได้สุญญตนิพพาน จะเป็นอาการยังไง แล้วนิพพานไม่มีนิมิตหรือมีนิมิตเป็นอย่างไร จนกว่าจะรู้จักนิพพานสุดท้ายที่ไม่ตั้งความปรารถนาอีกต่อไป คือยังไง) ท่านนิพพานแล้วแต่ร่างกายยังไม่ตาย แล้วท่านจะอยู่อย่างไร ท่านจะเป็นอยู่อย่างปณิหิตวิโมกข์ หรือจะอัปปณิหิตวิโมกข์ก็ได้ คือ จะตั้งปณิธานให้มีความปรารถนาต่อ หรือจะไม่ตั้งความปรารถนาต่อ ก็ได้ทั้งนั้น แม้เป็นอยู่ก็ย่อมอาศัยนิมิต หรืออนิมิตวิโมกข์ ก็เป็นได้โดยส่วนตัวท่าน (คือนัยยะที่พ่อท่านเคยบอกว่า คุณอย่าไปเหมาเอาเองว่า เมื่อพระอรหันต์ท่านตายแล้ว จะต้องตายดับขันธ์ปรินิพพานไปหมดสิ้น จนไม่มาเกิดได้ร่างกายเป็นมนุษย์อีกเลย)


มีคนเขียนแทรกขึ้นไปแสดงภูมิว่า “อายตนะเป็นเครื่องกำหนดรู้จัก มโนปวิจาร ๑๘ ปรับเปลี่ยนให้อายตนะกำหนดรู้ในทวารใดๆ ก็ได้ เมื่อกายแตกไปไม่มีอายตนะไปควบคุม เวทนาจึงไปตามยถากรรม ฯลฯ ... พ่อท.ว่าก็ไปใช้บัญญัติมาผกผันเล่นๆ พอให้ได้สงสัย” (ซึ่งไม่ถูกเลย แล้วตอบว่า ...) ... ซึ่งเมื่อเราดับวิญญาณของเราได้แล้ว เราก็ยังสามารถรู้การปรุงแต่งของชาวโลกีย์อื่นๆ ได้ เพราะไม่ได้ดับวิญญาณตัวรับรู้ไปหมด จนไม่รู้อะไรไปหมดเลย ... ฯลฯ เมื่อท่านยังตั้งความปรารถนาอยากที่จะอยู่ ท่านก็จะมีความเป็นอยู่โดย... สร้างอภิสังขาร ปรุงเป็นปุญญาภิสังขารช่วยผู้อื่น ฯลฯ (ที่เว้นไว้ว่า ... นั้นคือ มีเนื้อความโดยละเอียดซึ่งผมไม่ได้พิมพ์บันทึกไว้)

ถ้าปุถุชนตายแล้ว มนายตนะของเขาก็จะสารพัดสะเปะสะปะ ไปกับกิเลสต่างๆ ทำงานอย่างโกลาหลมั่วหนักในตัวตนของเขาเพียงลำพัง จึงเป็นนรกที่ทรมานเละเทะ ซึ่งในระหว่างตายนั้นอย่านึกว่าไม่มีอายตนะเลยนะ ย่อมมี (ผมเคยคุยกับพ่อท. ซึ่งพ่อเคยบอกว่าในภพของใจเอง ก็จะมีมนายตนะกับธัมมายตนะนั่นแหละเกิดผัสสะกันเอง)

การดับความเกิดก็คือวิญญาณดับความอยาก วิญญาณไม่รู้สึกสุขหรือทุกข์กับสิ่งเร้าภายนอก เช่น ของกิน เครื่องใช้ โภคทรัพย์ ... ร่างกายมันมีความต้องการแค่พลัง
งานที่พอดีของมันเอง ... เข้าเรื่อง
อายตนะนั้นมีอยู่ (แต่) ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่ง อาตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ ... พ่อท่านอ่านทบทวนความสำคัญของ การรู้จักความเป็นสัตว์ ที่เกิดจากอายตนะ ๑๐ เป็นเบื้องต้นก่อน ... พอพูดถึงอุเบกขา พ่อท.ว่าไปอ่านเจออุเบกขา ๖ ซึ่งทำไมมีตั้ง ๖ (ผมช่วยค้นให้จนพบว่า อุเปกขูปวิจาร ๖ (อยู่ใน ล.๑๑/๓๑๖)

พ่อท่านขอแวะอธิบายเรื่องสังกัปปะ ๗ (มีการปรุงดุให้เกรงใจ ให้เกิดหิริ โอตตัปปะ ต้องมีการฝึกฝนจิตให้มีอำนาจวสี
จนมีพลังคือ มีสมาธิ มีพลังสองส่วนช่วยกัน คือพลังเจโตกับพลังปัญญา)
พ่อท.อ่านไปจนถึงข้อที่อ้างด้วยธรรมะ จรณะ ๑๕ มีคำว่าหิริ โอตตัปปะ จึงแวะบอกถึงความไม่มีความละอายบาป ของนักการเมือง และทั้ง ๑๑ ขั้นของจรณะนั้น (ศีลสัมปทา อปัณณกธรรม๓ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา) ก็คือ การทำฌานแบบลืมตาของพุทธ ไม่ใช่ฌานของฤาษีที่ไปปฏิบัติหลับตาทำ

พ่อท่านพูดไปหลายเรื่อง จนมาถึงความมักน้อย สันโดษ พ่อท่านก็เลยยกย่องคานธี ที่ไม่ได้เข้าไปในที่ประชุมรัฐบาล เพราะยามเห็นเป็นลุงแก่ๆ ใส่แค่ผ้าเตี่ยวไม่ได้แต่งตัวให้ภูมิฐาน จึงไม่ให้คานธีเข้าไป นายกฯเนรูและคณะรัฐบาลเลยไม่ได้ประชุม ไปตามหาที่บ้านก็ทราบว่ายามไม่ให้เข้า ครม. จึงติงคานธีว่าทำไมไม่นุ่งห่มไปให้เรียบร้อย คานธีตอบคมคายมาก “อ้าว อยากได้เสื้อผ้าดอกหรือ ไม่รู้นี่เลยไม่ได้นำเสื้อผ้าไปให้ ที่เชิญไปน่ะนึกว่าอยากได้คานธีไป คานธีจึงไปทั้งตัวและหัวใจแล้วไง” ...

พ่อท.สอนไปจนถึงการตรวจจิตด้วยญาณ คือ เจโตปริยญาณ ๑๖ พออธิบายไปจนถึงข้อมหัคคตจิต ที่จิตมีความเป็นใหญ่ ซึ่งยิ่งใหญ่นั้นหมายถึงจิตยิ่งเล็กลง มีตัวตนของกิเลสเล็กลง ยิ่งใหญ่ไม่ใช่ไปหลงความใหญ่ หลงหรูหรา ที่บางสำนักเขากำลังพาให้คนไปหลง จึงได้แต่ไปกวาดเอาฝูงผีมานับจำนวณเอาปริมาณให้มากๆ ให้ใหญ่ๆ เข้าไว้ แล้วบอกว่านั่นน่ะเป็นเหล่าเทพ เป็นเหล่าพุทธศาสนิกชน !

ท่านเดินดินสรุป เหมือนบ้านเมืองชวนคนไปปรองดองกับคนทำผิด นักนั่งสมาธิมุ่งปฏิบัติเอาความสงบก็ไปปรองดองกับกิเลสก่อนแล้ว


ไม่มีความคิดเห็น: