วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

55-3-23 บันทึกย่อพ่อเทศน์ เรียนอิสระฯ


เขียนโดย.. ใจแปลง สู่แดนธรรม
บันทึกย่อพ่อเทศน์ เรียนอิสระฯ FMTV บ้านราชฯ ตอน.. "เรียนรู้จักโอปปาติกะให้ดี"
ศุ. ๒๓ มี.ค. ๒๕๕๕ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง เริ่มเวลา 18:02 น.


เสนอให้พ่อท.อ่านก่อนเข้ารายการ ว่า วันนี้พ่อจะสอนเรื่องลึกๆ ในปรมัตถ์ของวิญญาณ โอปปาติกะ อธิบายลักษณะของวิญญาณ ไม่มีรูปร่าง ตายไปแล้วใครๆ ก็ไม่อาจเห็นได้ ไม่ได้ท่องเที่ยวล่องลอยไปมา ดังพระไตรฯ ล.๑๒/๔๔๐ และข้อ ๔๔๑ ว่า ... (ท่านพระสาติเข้าใจผิดเห็นว่า วิญญาณท่องเที่ยวไป) ... ดูกรท่านสาติ ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัยมิได้มี

วันนี้พ่อท.และท่านติกขวีโรร่วมกันจัดรายการ ... มีจดหมายจากศิษย์หลวงพ่อพุธเขียนมาว่า “ท่านชอบเรื่องโลกๆ หรือครับ ถ้าไม่หาที่ว่าง มัวแต่หาที่วุ่น จิตใจจะสงบได้ยังไงครับ พ่อท่านสอนลูกศิษย์ยังไงไม่รู้นะ ไม่เข้าใจความว่าง” พ่อท.ว่า เขาเข้าใจความว่างแบบมิจฉา วันนี้พ่อท่านจะสอนความว่างที่สัมมาทิฐิให้รู้

“..ท่านยุ่งเรื่องทางโลกมากเกินไป เอาเวลามาภาวนาดีกว่า ผมอายุ ๖๐ กว่าปี เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน โคราช หลวงพ่อพุธไม่ได้เรียนอะไรเลย รู้จากการปฏิบัติ มีสติเท่านั้นก็เกินพอแล้ว” (พ่อท.ว่า อย่างนั้นยังยึดผิดๆ อยู่ ขอให้ตั้งใจฟังอย่างมีปรโตโฆสะเถอะ อย่างที่ท่านทำกันนั้น พ่อท่านก็ทำได้ ไม่ยากอะไร ผมว่าที่พ่อท่านพาทำน่ะสร้างภาพนะ


พ่อท.ว่า ขอบคุณในเจตนาดีที่เขาเป็นห่วงเรา แต่ที่ท่านยึดและทำกันอยู่นั้น ก็ยังหลงทางอยู่ ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ยังเข้าใจอย่างที่พ่อท่านสอนนี้ไม่ได้ เพราะลัทธิที่เขาปฏิบัติกันอยู่นั้น ก็ไม่ได้เกิดคุณค่าประโยชน์อะไรอย่างที่ควรจะเป็นสัมมาสมาธิของพระอาริยะ อันประเสริฐ ... คือ ไปเข้าใจอยู่แต่ว่าสมาธิคือ การนั่งภาวนาในภวังค์ด้วยอานาปานสติ เท่านั้น ซึ่งพ่อท่านว่า อานาปานสตินั้น จะต้องทำไปตั้งแต่ของหยาบภายนอกคือกาม และกายสังขารเกี่ยวกับกามให้ระงับเสียก่อน จึงจะต่อมายังจิตสังขาร และระงับจิตสังขาร

วันนี้พ่อท่านจะสอนเรื่อง วิญญาณดับ ให้รู้อย่างกระจ่างๆ คือ ดับความเป็นสัตว์ที่พาเสื่อมนั้นลงไป ดับอย่างตั้งมั่น ดับอย่างมีวิมุติทั้ง ๒ คือจิตวิมุติ จิตหลุดพ้น และยังมีปัญญาวิมุติที่รู้ว่าจิตตนก็หลุดพ้นได้แล้ว ... ฯลฯ พ่อท่านอ่านทบทวนปูพื้นฐานอีกครั้ง เพื่อให้รู้ว่ามิจฉาสมาธินั้นไปปฏิบัติกระทำอย่างไร ส่วนสมาธิพุทธที่เป็นสัมมาทิฐินั้นจะต้องปฏิบัติด้วยมรรคทั้ง ๗ ทำไปอย่างไรชนิดที่ต้องมี สัมมาทิฏฐิเป็นประธาน มีสัมมาวายามะและสัมมาสติเป็นตัวห้อมล้อม ช่วยไปทุกๆ มรรค

พ่อท.จะอธิบายเน้นเรื่องสัมมาทิฏฐิข้อที่๙ คือสัตตา โอปปาติกะแต่แวะอธิบายสิ่งที่คนเข้า ใจยากอีกข้อคือ แม้สัมมาทิฐิก็ยังมีถึงสองส่วน คือ ๑.สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อการชำระ ให้เป็นส่วนแห่งบุญ คือปุญญาภาคิยะ หรือชำระได้เป็นส่วนๆ ยังไม่หมดทั้งหมด และ ๒. สัมมาทิฐิที่เป็นอนาสวะ ยังเป็นมรรคของโลกุตระอยู่ คือยังปฏิบัติอยู่ แต่ปฏิบัติด้วยความมีกำลังของปัญญาขึ้นมากแล้ว จึงเกิดสัมมาทิฐิซ้อนทบทวีขึ้นอีก รอบแล้วรอบเล่า

วิญญาณดับคืออย่างไร คือ รสของนรกที่เป็นตัณหานั้นดับสนิทเลย สัญญาก็กำหนดรู้ว่าเพราะสัญญาดับกิเลสแล้ว แต่สัญญาและสังขารก็ยังปรุงแต่งได้อยู่ แต่ปรุงโดยไม่มีกามรสมาร่วมปรุงด้วยเลย ... ฯลฯ เป็นการสังขารอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าสังขารที่มีกิเลสปรุงแต่งเดิมๆ คือจิตต้องแข็งจริงๆ การปรุงแต่งสังขารจึงจะไม่เสีย

ท่านเดินดินกำลังสังเกตว่า จุดแบ่งของสาสวะกับอนาสวะ อยู่ตรงไหน พ่อท่านว่ามีจุดแบ่งตรงที่ต้องอ่านเวทนาออก แบ่งให้เป็น และพ่อท่านแก้ไขความเห็นว่า คนมักเข้าใจผิดว่า โลกุตระจึงได้แก่การสิ้นอาสวะเท่านั้น คือหลงผิดไปเอาตัวจบ ไม่มีบันไดขึ้นเลย แท้จริงแล้ว การปฏิบัติกับสาสวะได้อยู่นั้น ก็คือเดินทางเข้าสู่โลกุตระแล้ว รู้จักเนกขัมมสิตเวทนา อ่านจิตที่มีกามวิตก พยาบาทวิตก ฯลฯ จึงจะรู้จักตัวสัตว์โอปปาติกะ ที่จะกำจัดความเป็นสัตว์ออก

พ่อท่านอธิบายโอปปาติกสัตว์ เช่น สัตว์นรกคือจิตมันดิ้นรนด้วยความใคร่อยากให้หามาเสพ พอได้เสพสมใจแล้วก็เป็นเทวดาทันที พออยากใหม่ก็วนกลับไปเป็น สัตว์เปรต เป็นสัตว์นรก อีกอย่างเดิม

วิญญาณดับอย่างไร อ้างจากพระไตรปิฎก ล.๑๒ ข.๔๔๒ (ที่พระสาติกล่าวตู่พระพุทธเจ้าว่า ตนเองเข้าใจดีแล้วว่าพระพุทธเจ้าสอนวิญญาณว่าท่องเที่ยวไป) .. พ่อท่านพยายามอธิบายอย่างยิ่ง จนมาถึงว่าพระอนาคามีมีแต่โอปปาติกะ ที่ไม่มีความวุ่นด้วยเรื่องใดๆ จากอายตนะ๑๐ ภายนอกอีกแล้ว ท่านฝึกอานาปานสติด้วยการดับกายสังขารภายนอกได้หมดจนวิญญาณดับได้แล้ว คือไม่มีวิญญาณสัตว์โลกภายนอกเกิดบทบาทอีกแล้ว จึงเหลือแต่วิญญาณภายใน ที่มีเพียงอายตนะ๒ เท่านั้น ที่จะศึกษาการระงับจิตสังขาร ฯลฯ

พ่อท่านอ่านมาถึงความสำคัญของอายตนะ พตปฎ. ล.๒๕/๑๕๘ ซึ่งมีรายละเอียดดีมาก (ผมไม่อาจพิมพ์ตามได้ทั้งหมด เพราะต้องคอยอินเสิร์ทข้อความที่พ่อท่านเขียนไว้นั้น ให้ผู้ชมทางบ้านอ่านตาม ซึ่งผมถ่ายรูปเอาไว้แล้ว หากใครสนใจก็ติดตามไปอ่านได้ในอัลบั้ม “สัตตาโอปปาติกะ” นะครับ


ไม่มีความคิดเห็น: