วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

55-4-8 บันทึกย่อพ่อเทศน์ วิถีอาริยธรรม


"ผ่าตัดความเป็นโอปปาติกสัตว์ ตอนที่ ๗" (แถมให้อีก)
บันทึกย่อพ่อเทศน์ วิถีอาริยธรรม FMTV บ้านราชฯ
อา. ๘ เม.ย. ๒๕๕๕ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง เริ่มเวลา 09:05 น.
บันทึกย่อโดย ใจแปลง สู่แดนธรรม
ที่มา :     http://www.facebook.com/groups/188545584512043/permalink/381470611886205/


1. พ่อท่านจัดรายการร่วมกับท่านเดินดินและท่านฟ้าไท เกริ่นเรื่อง ตลาดอาริยะปีนี้จะจัดร้านค้าขึ้นในหมู่บ้าน .. เข้าสู่การเรียนปฏิบัติให้ดับภพจบชาติ ท่านติกขะเห็นว่าทุกวันนี้เขาสอนแบบสลับกัน สิ่งที่ควรกำหนดรู้กลับไปดับ แต่สิ่งที่ควรทำให้ดับนั้นกลับไปทำให้มีอยู่ พ่อท่านเอาชี้ท “ผ่าตัดความเป็นโอปปาติกสัตว์” มาอธิบายเก็บรายละเอียดต่อจากงานปลุกเสก ซึ่งไม่จบ



2. พ่อท่านปูพื้นฐานให้รู้การปฏิบัติธรรมที่ผิด ได้ผลที่ผิดเป็นมิจฉาสมาธิ จึงไม่สามารถรู้วิญญาณสัตว์อบายเบื้องต้น ฯลฯ พ่อท่านอ่านชี้ทหน้า ๑๒ สอนให้รู้ความเป็นวิญญาณภายนอก ที่มันเกิดสัตว์กามภพขึ้นมาได้จากตา หู จมูก ลิ้น กาย ไปผัสสะ แล้วสามารถทำให้วิญญาณ๕ภายนอกนั้น ดับความรู้สึกทางกาม จนไม่มีวิญญาณสัตว์กามเกิดแม้จะสัมผัสอยู่ทั้ง ๕ ทวารก็ตาม นี้คือวิญญาณดับ ดับเพราะอวิชชาดับด้วย แล้ววิชชาก็เกิดรู้จริงไปกับปฏิจจสมุปปบาท รู้โดยวิปัสสนาญาณ ๑๖ นี้แหละคือ ผู้ได้นิพพานแล้วจากการที่วิญญาณไม่เกิดสัตว์อีก 

3. พ่อท่านอธิบายนิพพาน ๒ แบบ คือ แบบที่เรียกว่า สอุปาทิเสสะ คือผู้ที่ไม่มีวิญญาณสัตว์เกิดในขันธ์อีกแล้ว เป็นอรหัตตาที่พ้นอุปาทานในขันธ์ทั้ง ๕ แล้ว แต่ท่านก็ยังไม่ตาย และยังตั้งใจก่อนที่จะตายว่า ยังจะเกิดอยู่ต่อเพื่อศึกษาพุทธภูมิอีก ยังไม่ยอมดับขันธ์ปรินิพพาน ส่วนอีกนิพพานนั้นเรียกว่า อนุปปาทิเสสะ คือ พระอรหันต์ที่ยอมดับสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เกิดอีก

4. ท่านติกขะถามว่า จะมีบ้างไหมที่พระอรหันต์ท่านจะถามกันว่า ท่านจะอยู่ต่อ หรือว่าจะดับขันธ์ปรินิพพานไปเลย พ่อท่านว่า อย่าไปยุ่งกับท่าน ท่านจะรู้แต่ของตนเองเท่านั้น ส่วนพระอรหันต์ท่านจะคุยกันบ้าง ถึงวาระท่านก็บอกกันได้ว่า ผมจะอยู่ต่อ หรือผมจะดับ "เอาน่า คุณรอให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะ เดี๋ยวจะมีคนมาพูดคุยกับคุณด้วยเรื่องนี้เองแหละ" (ผู้ชมฮาขำๆ)

5. ธรรมะที่ควรกำหนดรู้ ๑อย่างคือผัสสะที่มีอาสวะ อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานเท่านั้น (ผมเข้าใจผัสสะแบบนี้ว่า ต้องหมายถึงผัสสะของ"เสขบุคคล"เท่านั้น ที่ควรกำหนดรู้ว่า ผัสสะของตนยังมีอาสวะเป็นเหตุให้มีอุปาทานอยู่ ส่วนพระอเสขะนั้น ท่านมีแต่ผัสสะเฉยๆ ไม่ได้มีอาสวะให้ศึกษากำหนดรู้กิเลสอาสวะแล้ว) ...

พ่อท่านอ่าน ให้กำหนดรู้ทั้ง ๑๐ อย่าง เช่น ๒อย่างคือนามรูป ๓อย่างคือเวทนา๓ ๔อย่างคืออาหาร๔(แล้วแวะอธิบายอยู่เรื่อยๆ) ๕อย่างคืออุปาทานขันธ์ (ต้องอ่าน “คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก” ที่พ่อท่านอธิบายแจกขันธ์ทั้ง๕ และพ่อท.พูดถึงงานเขียน เล็บครุฑ ของพนมเทียน ที่มีจางซูเหลียงเป็นตัวอุปาทานบงการใหญ่อยู่ภายใน โดยไม่เคยมีใครรู้เห็นหน้า แล้วมีลูกสมุนเอกเป็นตัวแสดงออกนอกหน้าทำการรับใช้ ส่วน ชีพ ชูชัย เป็นพระเอก … ผมเลยนึกถึงหนังฝรั่งเรื่อง Charlie's Angels ที่สร้างกันมาหลายยุคแล้ว ก็มีนัยยะเดียวกัน ที่ตัวตัณหาใหญ่ก็ใช้นางฟ้าทั้งสามเป็นสมุนทำการ) ๖อย่างคืออายตนะภายใน ๗อย่างคือวิญญาณฐีติ ๘อย่างคือโลกธรรม ๙อย่างคือสัตตาวาส ๑๐อย่างคืออายตนะ๑๐

6. สังขารปรุงแต่งไปโดยมีอวิชชา คือโง่ๆ ไม่รู้จักกิเลสตัณหา จึงไปสร้างสรรค์อะไรต่อมิอะไรออกมาเป็นกามกิเลส มอมเมากันเปรอะไปหมด การกำหนดรู้อายตนะ๑๐ ให้ได้ก่อนนั้น ก็คือ เรียนรู้เบื้องต้นไปจากภายนอกทั้ง ๕ ทวารก่อน ไม่ให้มีกาม-พยาบาทมาปรุงแต่งร่วมจากการพบสัมผัส ๕ทวารภายนอกหยาบๆ นั้น ให้ได้เสียก่อน อย่าเพิ่งไปอวดดีที่จะไปรู้ความสงบภายใน ที่มีเพียงอายตนะ๒ เท่านั้น จึงไม่รู้ต้น กลาง ปลาย แล้วก็หลงไปรู้ว่าบรรลุขั้นปลายยอด พรวดเดียวก็เป็นอรหันต์กันเลย ส่วนเบื้องต้นบรรลุเป็นโสดาฯ สกิทาฯ ยังไง กลับไม่รู้ (คือ ไม่รู้ทั้งลำดับต้นกลางปลาย ของลำดับต้นๆ เองอีกด้วย /ผู้บันทึก)

7. พ่อท่านสอนมาถึงความเป็นอเทวนิยม แตกต่างจากเทวนิยม (มีผู้ชมถาม..) ตอบว่า เทวนิยมนั้นหมายถึง หลงในเทวดาแต่ไม่รู้จักเทวดา จึงยอมให้เทวดาหลอก เมืองไทยเรามีกันเยอะ ส่วนอเทวนิยมนั้น คือ รู้จักเทวดาจริง (ที่ผุดเกิดหรืออุบัติขึ้นที่จิตใจเรา) และเราเองนี้แหละที่จะเป็นเทวดานั้นเสียเองด้วย (เป็นได้แม้เทวดาขั้นบริสุทธิ์สูงสุด คือ อรหัตผล ก็ย่อมมีย่อมเป็นในเรา) ...

8. พ่อท่านเจตนาจะอธิบายทั้ง ๑๐ อย่างนั้นให้เกี่ยวโยง เชื่อมต่อสัมพันธ์ร้อยมาลัยซึ่งกันและกัน ... (แต่คงไม่มีเวลาพอ) วิญญาณอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น เว้นจากปัจจัยให้เกิดแล้ว วิญญาณก็ไม่เกิด ไม่ใช่ไปหลงเข้าใจผิดแบบพระสาติภิกษุ ที่ว่า ตายแล้ววิญญาณย่อมล่องลอยท่องเที่ยวไป ... พ่อท่านว่าสักวันคงจะได้อธิบายว่า หลังความตายแล้วนั้น พระอรหันต์ พระอนาคามี ท่านอยู่กับวิญญาณของท่านอย่างไร ส่วนปุถุชนนั้นย่อมเป็นอยู่กับนรกที่เลอะเทอะตลอดเลย ฯลฯ

9. พ่อท่านสอนปัจจัยการเกิดขึ้นของวิญญาณ ที่อาศัยอะไรเกิดขึ้น ก็นับว่าวิญญาณเกิดขึ้นจากสิ่งนั้น เช่น มีรูปและตา(จักษุ)ทำให้วิญญาณเกิด ก็เรียกว่าจักษุวิญญาณ ฯลฯ เปรียบเหมือนไฟที่อาศัยเชื้อเพลิงอะไร ไฟก็ย่อมเกิดจากเชื้อเพลิงนั้น เช่น ฟางเป็นเชื้อก็เรียกว่าไฟฟาง ป่าเป็นเชื้อก็เรียกว่าไฟป่า ฯลฯ พ่อท่านแถมให้อีกว่า ไฟที่เกิดจากราคะก็เรียกว่าไฟราคะ เกิดจากโทสะเรียกว่าไฟโทสะ เป็นต้น

10. รู้จักสัตตาวาส ๙ จึงต้องมากำหนดรู้จักอาหาร ๔ (ที่ทำให้สัตตาทั้งหลาย เช่น สัตว์นรก สัตว์เทวดากามา ฯลฯ มีชีวิตอยู่ได้เพราะมีอาหารเลี้ยงไว้ /ผู้บันทึก) พ่อท่านสอนร่วมสมัยมาก คือ ให้เป็นนักแฮกเก้อร์ที่เจาะข้อมูล ดึงขึ้นมารู้จักตัวมันเรื่อยๆ ดึงตัวกิเลสหยาบๆ ไปจนสามารถดึงอาสวะกิเลสขึ้นมารู้จักตัวตนของมันให้ได้ ... คุณจงเรียนรู้สัญญาให้ตรงกันกับสิ่งที่พ่อท่านรู้ แล้วกำหนดรู้จักสภาวธรรมให้ตรงกัน สัญญากับกายก็จะเป็นอย่างเดียวกัน กายเป็นธรรมก็คือธรรมกายนี้แหละ

11. ตรวจสอบวิญญาณฐีติ ที่มันยังตั้งติดอยู่หรือฐีติติดอยู่ในขั้นไหน อย่าไปหลงจมอยู่ใน “อรูปฌาน” อย่างฤาษีอาฬาฬดาบส อุทกดาบส ที่เก่งอย่างสูงสุดก็ได้แค่ ดับ (ได้เนวสัญญานาสัญญาฯ) ... เมื่อมีธรรมะเป็นพระอนาคามีแล้วจึงจะมีพื้นฐาน ในการทำนิโรธสมาบัติอย่างสัมมาทิฐิ คือ นิโรธออกจากความเป็นสัตว์ขั้นกามภพได้แล้ว อย่าไปหลงพระผู้ที่ทำนิโรธสมาบัติได้เพราะการนั่งสมาธิหลับตา ซึ่งแบบนั้นมันก็ย่อมดับความรับรู้ได้ พอนั่งปุ๊บก็เข้าภวังค์ดับปี๋ได้ในทันทีเลย

12. พ่อท่านสอนสัตตาวาสที่ ๓ การจะไปกำหนดกายหรือองค์ประชุมว่า มีกายที่ว่างเบา หลุดออกจากโลกได้เหมือนกัน เหมือนกับจรวดหลุดออกไปนอกโลก ก็จะรู้สึกว่าง สว่าง มีอาภัสสรา แต่สัญญาก็ยังต่างกัน คือ สัญญาว่าใสแบบธรรมกาย สัญญาว่าสว่างแบบสายหลวงปู่มั่น ... พ่อท่านเคยเล่นไสยศาสตร์ในระดับ “อรูปพรหม” เคยรักษาคนป่วยโรคจิตที่คิดว่า ตนเองมีพระพรหมเป็นสามี

13. พ่อท่านเอาความรู้ที่สัมมาทิฐิแบบนี้มาอธิบายสอนได้นั้น ก็เพราะนำมาจากคลังความรู้ที่มีเป็นของตนเอง ไม่ได้นำมาจากอาจารย์คนไหนหรือจากตำราเล่มไหนๆ พวกที่เรียนธรรมะมาผิดลำดับขั้นตอน ไปเรียนรู้ว่ามีแค่หางช้างโผล่ออกมา จึงทำหางช้างหลุดออกมาจากพวยกาให้ได้ ...

พ่อท่านนึกถึงการคลอดที่มีการยืดหยุ่น ถ้าคลอดผิด เอาหางช้างออกได้ก่อน แต่ตัวช้างออกไม่ได้นั้น แม่ก็ตาย ลูกก็ตาย แต่ถ้าคลอดถูกลักษณะแบบพุทธ ก็จะเอางวง เอาหัวใหญ่ๆ หยาบๆ ออกมาก่อน (ดับสักกายะ ดับอัตตาไปตามลำดับ) สุดท้ายก็เป็นอนาคามีที่เหลือแต่หางช้าง (เหลือแต่อาสวะกิเลส) จนกระทั่งทำให้หางช้างคลอดหลุดพ้นออกมาได้ จึงหลุดพ้นสิ้นหมดจด แต่น่าเสียดายที่การเรียนการสอนพุทธะในทุกวันนี้ ไม่มีลำดับจากต้นไปหาปลาย คือ ควรต้องเรียนรู้จักดับกามคุณ ๕ ที่ผ่านเข้าอายตนะ๑๐ก่อน แล้วค่อยไปเรียนรู้ลดละกับอายตนะ๒ ภายใน (อันเป็นหางช้าง) แต่อยู่ๆ ก็ไปเริ่มต้นเรียนรู้ปฏิบัติทำสมาธิ เอาหางช้างคลอดออกมาก่อนเลย ซึ่งเป็นมิจฉาสมาธิ ได้มิจฉาผล



ไม่มีความคิดเห็น: