วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

55-4-4 บันทึกย่อพ่อเทศน์ ผ่าตัดโอปปาติกสัตว์ ๓


ตอน.. "ผ่าตัดความเป็นโอปปาติกสัตว์ ตอนที่ ๓"
บันทึกย่อพ่อเทศน์ ปลุกเสกฯ ๓๖ FMTV บ้านราชฯ 
พุธ ๔ เม.ย. ๒๕๕๕ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง เริ่มเวลา 04:02 น.
บันทึกย่อโดย ใจแปลง สู่แดนธรรม
ที่มา   http://www.facebook.com/groups/188545584512043/permalink/378902425476357/

เชิญคลิกฟังคลิป "ผ่าตัดความเป็นโอปปาติกสัตว์ ตอนที่ ๓"


1. วานนี้พ่อท่านอ่านถึง ทิฐิข้อที่ ๙ อยากให้รู้จัก สัตตา โอปปาติกะ กันอย่างสัมมาทิฐิ วันนี้พ่อท่านขึ้นต้นว่างานปลุกเสกของเราต้องมีคำว่า ปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ต้องยืนยันว่าของพุทธ เพราะพุทธมีทฤษฎี (ทิฏฐิ) ที่สัมมา ถูกต้อง (คือ ต้องเห็น ต้องมีสัมผัสรู้เห็น) เพราะมีผัสสะจึงจะเกิดวิญญาณ วิญญาณมีปัจจัยให้เกิดมาจากผัสสะ 


2. ต้องจัดการที่วิญญาณ รู้ที่ใจ ที่ไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตาดูแต่จิตๆ ที่เอาแต่ภพข้างใน แต่เราก็ดูรูปจิต รูปภพได้จากการมีผัสสะจากภายนอก ให้ปรุงแต่งเป็นสุข เป็นทุกข์ลงในวิญญาณ จึงรู้สังขารที่ปรุงแต่งมาจากภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) และพุทธยังรู้ข้างในที่เชื่อมมาโดยอายตนะให้รู้โดย รูปายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ รสายตนะ กายายตนะ) กายะหรือกายแปลว่า องค์ประชุมที่ครบพร้อม เช่น ในกายสักขี ต้องมีกายสัมผัสวิโมกข์ ๘ 

3. เรารู้จักสังขาร คือรู้วิญญาณ โดยอาศัยสติ สัมปชัญญะ มีสัมปชาโน วิญญาณจึงจะทำงานร่วมกับอายตนะทั้งนอกและในให้ตรงกัน หากคุณนั่งอยู่ในนี้ แต่ไม่มีสัมปชัญญะ วิญญาณคุณก็ไม่ฐีติอยู่ ส่วนคนที่เข้าอสัญญีนั้นจะตัดสัมปชัญญะไม่ให้มีความรู้ตัว คือมีแต่มืดดำ ไม่มีวิญญาณให้ศึกษาอ่านนามรูปได้เลย อ่านไม่ได้จึงไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ 

4. ทุกข์ที่เกิดทางกายมีประสาทกระตุ้นให้ทุกข์ตามธรรมชาติแล้ว คนเรายังเอากิเลสไปผสมให้ทุกข์ยิ่งขึ้น กายไม่ได้ต้องการความอร่อยเลย กายไม่ได้ต้องการที่ดิน ทรัพย์ศฤงคารอะไรเลย คนรู้การปรุงแต่งแล้วจะรู้ว่ากายต้องการแค่ไหน จิตก็ไม่ได้ต้องการรูป รส กลิ่น เสียง ที่วิจิตรพิสดารอะไรเกินไปเลย รู้เสียงก็เพื่อให้รู้สาระที่รู้เรื่อง คนเราไม่ต้องรับสิ่งที่ปลอมปนหุ้มห่อมากับเปลือกๆ ที่เป็นขยะ 

5. พ่อท่านจะขยายปฏิจจสมุปบาทให้รู้ดีๆ อย่างลึกซึ้งในการเป็นปัจจัยให้กันและกัน ตัวแก้ไขปฏิบัติคือตัณหาที่เป็นเหตุ .. เมื่อปฏิบัติเฉพาะภายในมีมนายตนะกับธัมมารมณ์เป็นผัสสะให้กัน จึงไม่จำเป็นต้องมีนามรูปในปฏิจจสมุปบาทอีก เพราะเรามีญาณรู้จักนามรูปปริเฉทญาณในขณะนั้นแล้ว หากคุณฟังเข้าใจแล้ว การปฏิบัติของคุณจะเก่งขึ้น ลองไปทำทบทวนซ้ำดู เห็นนิโรธแล้วจึงค่อยทำปฏินิสสัคคะซ้ำทบทวนไปมา ทำจนกระทั่งมันไม่กลับกลายเป็นอื่นอีกแล้ว จะกาละไหนๆ ก็ยังตั้งมั่นดีแล้ว พ้นดีแล้ว 

6. วิญญาณปลดปล่อยสัตว์ออกจนหลุดพ้น รู้การปล่อยไปด้วยมุญจิตุฯ จึงสามารถรู้การอนุโลมไปเพื่อการปรุงแต่งร่วมกับคนอื่นได้ และทนต่อการสังขารได้ จะแรงจะมากขนาดไหน จะหลอกล่อด้วยอบาย ล่อด้วยลาภขนาดใหญ่ก็ทนได้ หรือเราจะปรุงแต่งให้เป็นอปุญญาภิสังขาร ก็ย่อมอนุโลมไปได้ตามสัปปุริสสธรรม ๗ 

7. รู้จักญาณตัดโคตรของจิต เพราะรู้การเป็นโคตรบุคคลทางกายมาแล้ว ทำได้เพราะมีมัคคญาณคือญาณรู้จักการปฏิบัติมาได้อย่างนี้ มีผลญาณ มีปัจเวกขณญาณ รู้วิทยาศาสตร์ทางจิต 

8. พ่อท่านอ่านต่อ (ท้ายหน้า ๖) หมายจะให้รู้การไม่เกิดของสัตว์ เพราะวิญญาณดับจากกิเลสกามภพทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้ง ๕ แล้ว เหลือแต่สัตว์ภายในธัมมารมณ์เท่านั้น จึงเป็นสัตว์ที่เหลือของอนาคามี พ่อท่านสอนให้รู้แม้อนาคามีในโสดาบัน ฯลฯ (พ่อท่านเขียนขยายเพิ่มเติมการตรวจความเป็นอาริยะขั้นโสดาบัน สกิทาคามี ว่าเป็นสัตว์กามภพอย่างไร จะดับสัตว์อย่างไร จึงไม่มีในชี้ท) ดับวิญญาณสัตว์กามภพในระดับอบายของโสดาบันยังไม่ได้เลย จะไปเป็นอรหันต์ได้ยังไง (ในระดับที่เสพติดความสุขจัดๆ เช่น ติดกาแฟ ติดน้ำหวาน เสพเกินจนร่างกายแย่ จึงเป็นอบายภูมิที่ควรพอแล้ว ควรหยุดได้แล้ว) คนไทยหลงนับถือพระปฏิบัติดีแล้ว จึงเห็นมีแต่บันทึกว่าเป็นอรหันต์ แต่ว่าโสดาฯเป็นยังไง สกิทาฯเป็นยังไง ที่ควรมีควรเป็นได้และควรมีจำนวนมากกว่า กลับไม่รู้ 

9. เมืองไทยไปหลงนับถือพระอรหันต์ที่ยังมีกายสักขีให้ดูว่า ยังติดบุหรี่อยู่ แต่บำเพ็ญจิตทำสมาธิตกผลึกจนมีแต่ความเย็น ตายแล้วกระดูกเป็นพระธาตุได้เพราะเย็นๆ นี้เอง กระดูกเป็นพระธาตุจึงไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดความเป็นพระอาริยะของพุทธ เพราะผู้ปฏิบัติแบบฤาษีทำสมาธิเก่งๆ เขาก็มีกระดูกเป็นพระธาตุได้ ... 

โลกต่างๆ ที่มีองค์ประชุมของจิต แม้เป็นจิตระดับที่ยังมีสาสวะ ก็รู้โลกนี้ โลกหน้า คือรู้จักอารมณ์โลกียะ(โลกนี้) และอารมณ์เนกขัมมะ(โลกหน้า) จนรู้จักการดับวิญญาณสัตว์โลกต่างๆ ... ใครสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทรงเรียกพระอนาคามีว่า อุปปาติกะ หรือโอปปาติกะ ก็เพราะพระอนาคามีท่านดับวิญญาณสัตว์กามภพทั้ง ๕ จากอายตนะภายนอกได้หมดแล้ว จึงเหลือแต่โอปปาติกะหรือจิตวิญญาณภายในเท่านั้น คือ มโนกับธรรมมารมณ์ (ที่เหลือให้เป็นทุกข์อยู่)

10. พ่อท่านขอแวะอธิบายวิญญาณฐีติ๗ วิโมกข์๘ สัตตาวาส๙ อันความเป็นสัตว์นั้นหมายถึงนามธรรม คือองค์ประชุมของจิต ที่มีองค์ประชุมของความเป็นสัตว์ชั้นต่ำ ชั้นสูง กายต่างกันจึงหมายถึงความมีสัตว์ทางโอปปาติกะต่างกัน แล้วกำหนดสัญญาในความเป็นสัตว์นั้นก็ต่างกัน ถ้าคุณกำหนดสัญญาผิด ก็ผิด (คือ ไม่สามารถปลดปล่อยสัตว์ออกไปจากจิตวิญญาณได้)




คลิกที่ภาพ  เพื่อไปชม อัลบั้ม รวมภาพงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ 36 ประจำวันที่ 4-4-2555 







ไม่มีความคิดเห็น: