วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

55-4-10 บันทึกย่อพ่อเทศน์/ สงคราม สังคมฯ

ตอน.. "วิญญาณภายนอกควรรู้ก่อน"
บันทึกย่อพ่อเทศน์ สงครามฯ FMTV บ้านราชฯ 
อัง. ๑๐ เม.ย. ๒๕๕๕ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง เริ่มเวลา 18:05 น.
บันทึกย่อโดย ใจแปลง สู่แดนธรรม
ที่มา :    http://www.facebook.com/groups/188545584512043/permalink/382942371739029/ 

สงครามสังคมธรรมการเมือง ที่ราชธานีอโศก 
วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕

1. พ่อท่านทวนของเก่า ปูพื้นฐานเพื่อจะบรรยายขั้นกลางและปลาย เรื่องวิญญาณสัมมาทิฐินั้น อาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรา(ตถาคต)กล่าวแล้วโดยปริยายเป็นเอนก ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัย มิได้มี พ่อท่านเขียนอธิบายว่า “หมายความว่า ถ้าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยอะไรมาประชุมกัน วิญญาณหรือธาตุรู้จะไม่เกิดมาแสดง “ความเป็นวิญญาณ” ให้แก่ใคร “รู้” อะไรขึ้นมาได้เลย 


2. ปัจจัยต่างๆ นั้นได้แก่ นามรูป ที่ต้องมีความสามารถแยกรูปออก แยกนามหรือญาณรู้ออก รูปก็จะมีขบวนการรับรู้ได้จาก ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ฯลฯ เป็นรูปที่เป็นปัจจัยภายนอก การเป็นปัจจัยให้กันและกันนั้นจะต้องมีสิ่งสองสิ่งร่วมกัน เช่น ตากับรูป เสียงกับหู ฯลฯ จึงจะเกิดการรู้นามรูปไปสู่วิญญาณ รู้การเกิดเวทนาเกิดความเป็นสัตว์ เกิดวิญญาณที่รู้อย่างสัมมาทิฐิ ถ้าไปรู้วิญญาณล่องลอยอยู่เป็นมิจฉาทิฐิอย่างสาติภิกษุ ก็ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ (คุณจะไม่สามารถจับวิญญาณมาศึกษาความเป็นสัตว์ จึงดับความเป็นสัตว์โอปปาติกะไม่ได้เลย) 



3. สัตว์ที่ควรศึกษาตอนต้นเลยก็คือ สัตว์กามภพ ที่เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ก่อน หากเริ่มต้นก็ไปหลับตาทำสมาธิก่อนเลย ก็หลง เพราะไม่เข้าใจไปตามลำดับต้น กลาง ปลาย ... จึงเอาแต่นั่งดับจิต แต่ไม่ได้ดับภพ (กามภพก็ไม่ดับ ภวภพก็ไม่ดับ) ดังนั้นจึงควรมาเรียนรู้เบื้องต้นก่อน คือ กามภพ ภวภพ ซึ่งเบื้องต้นก็เรียนทั้งปริยัติและปฏิบัติให้ถูกลำดับขั้นตอน 

4. พ่อท่านเห็นว่าบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย ที่อุตสาหะมุ่งมั่นปฏิบัติเป็นพระป่านั้น ก็น่าสงสารที่ท่านเห็นผิด ปฏิบัติผิด (ซึ่งแน่นอนว่า ลูกศิษย์ของท่านก็จะเห็นว่า พ่อท่านสอนผิดด้วยเช่นกัน) ... สุขเวทนาเป็นสัตว์เทวดาเก๊ๆนั้น เก๊ อย่างไร ต่างจากเทวดาอุบัติเทพของพุทธอย่างไร คุณต้องแยกออกให้เป็น ไม่งั้นคุณก็ไม่รู้จักอรหันต์แท้ .. ขันธ์๔จึงเป็นลิ่วล้อทำงานให้แก่วิญญาณ 
5. พ่อท่านก็อยากจะบอกถึงคนที่ปฏิบัติถูกอยู่หรอก แต่ก็ยังชะลออยู่ จึงได้แต่พูดเฉียดไปเฉียดมากับพระที่ปฏิบัติผิด ส่วนพระที่หลงผิดหนักๆ พ่อท่านก็ระบุชื่อเลย เพื่อให้รู้ว่าผิดอย่างไร ... ดับอวิชชาด้วยการปฏิบัติถูก มีความเจริญไปตามปฏิจจสมุปบาท จึงได้“วิชชา”มาทีละปัจจัย คุณต้องรู้ขบวนการทั้งหมด เริ่มต้นคุณก็มีอวิชชาอยู่จริงๆ จึงมีสังขารไปปรุงแต่งจริง หลงจริงในสังขารนั่นแหละ เริ่มต้นรู้ตัว รู้จักสังขารจิต คุณจึงเริ่มรู้จักวิญญาณ จึงไปรู้นามรูป มีวิชชาสูงขึ้นๆๆๆ เวลาจะปฏิบัติคุณจึงต้องรู้จักผัสสะ พ่อท่านพยายามอธิบายให้รู้ช้าๆ แบบ Slow Motion 500เฟรมต่อวินาทีกันเลยทีเดียว 
6. ผัสสะเป็นปัจจัยจาก ๕ ทวารข้างนอกก่อน อย่าเพิ่งด่วนไปรู้ทวารใจ โดยคิดว่าอย่าส่งใจออกนอกตัว เอาแต่เพ่งดูจิต ดูแต่จิตๆๆๆ พ่อท่านว่า ทั้งๆ ที่ผิด แต่ก็ยังไปหลงนับถือบูชากันอยู่ ยังไปยกย่องไปบำเรออาจารย์ พ่อท่านไม่ได้มีจิตลบหลู่ ที่จะต้องกล่าวให้รู้ว่าท่านปฏิบัติผิดอย่างนั้น พ่อท่านว่าสุดวิสัยที่จะหลีกเลี่ยงได้จริงๆ จึงได้แต่ขออภัยอย่างสุดลึก 

7. คนศึกษาตามปริยัติมาเบื้องต้น ไม่เป็นไปตามหลักปฏิจจฯ เลย วิญญาณคุณรู้จักผิดๆ เข้าใจว่าวิญญาณต้องท่องเที่ยวไป ซึ่งคุณจะเอาประโยชน์ไม่ได้ คุณควรมาศึกษากับวิญญาณในร่างกายคุณตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ว่าวิญญาณคุณเป็นสัตว์นรก หรือสัตว์เทวดา คือ เรียนจากการปรุงแต่งสังขาร จนเกิดเวทนามีอารมณ์ความสุข จึงควรรู้เวทนาจากทวาร ๕ ภายนอกก่อนเถอะ (เช่น ธรรมะที่ควรกำหนดรู้ ๑๐ อย่าง ได้แก่ อายตนะ ๑๐ คือ อายตนะที่เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น อยู่ในเล่ม ๓๑ ข้อ ๖๕ พ่อท่านถามว่าอยู่เล่มไหน) 

ช่วงตอบประเด็น 

นายแน่นอนว่า ฟังธรรมไปนกกระจอกก็บินไปบินมา ได้ข้อคิดคือ ให้ตั้งใจฟังธรรม อย่าเป็นเช่นนกกระจอก อย่าคุยแข่งกับพ่อครูที่กำลังเทศน์ ... ปัญหาที่ตอบไม่หมดพ่อครูเอาไปไว้ไหนครับ (ให้เขียนมาใหม่สิ โดยไม่ต้องจับฉลากเลย พ่อท่านพยายามจะตอบคร่าวๆ แต่ก็มักจะลงลึกทุกทีเลย) ... จะถวายจีวรพระบิณฑบาต ... คนไทยส่วนใหญ่โง่ใช่ไหมครับ (ตอบได้เลยว่า ใช่ ตามพระพุทธเจ้าตรัสว่าคนมาเกิดเพราะอวิชชา .. ผู้พ้นอวิชชานี้ไม่ใช่ว่า จะไม่มีความรู้แบบคนโลกๆนะ เพราะท่านไม่ได้แสดงให้ใครรู้แบบคนโลกๆ แต่ถ้าถึงเวลาที่เหมาะ ท่านก็จะแสดงความรู้ และย่อมจะทำอย่างได้ประโยชน์จริงๆ ฯลฯ 

ไม่ติดอบาย แต่ติดเรื่องชีวิตคู่ ดิฉันกลัวขาดเขา กลัวคนไม่รู้ใจ จะทำไงจึงจะไม่พลัดพรากจากกัน (คำว่าอบายมุขก็คือ ทุกสิ่งที่คุณกำลังติดหนักๆ นี่แหละ หากแฟนคุณชอบการแต่งตัวจัด คุณก็ต้องไปแต่งจัดๆ เพื่อให้แฟนคุณชอบ มันไม่เคยมีอะไรที่จะไม่พรากจากกันไปหรอก คุณต้องรีบหัดตัดใจไม่ให้มีจิตเกาะเกี่ยวผูกพันกันนัก พ่อท่านตอบอย่างแข็งๆ เพราะเขาติดหลงหนักในความผูกพันมากไป หัดพึ่งตนเองให้ได้เถอะ ผู้หญิงทุกวันนี้ไม่พึ่งผู้ชายกันได้แล้ว 

เมถุน ละล้างชักสะพานเสีย ฤาษีเขาก็ละล้างชักสะพาน แต่ทำไมไม่บรรลุ แต่ทำไมนางวิสาขามีลูกมีหลาน จึงบรรลุได้ (ฤาษีนั้นเขาไม่ได้เรียนรู้จิต ละกิเลสออกจากจิตเหมือนนางวิสาขา ฤาษีก็เหมือนกับพระธุดงค์ที่เอาแต่กดข่ม ละทิ้งให้สมถะ มักน้อยกันเก่งๆ แล้วก็ไปหลงว่าได้อรหันต์ เพราะไปดูกันที่กระดูกเป็นพระธาตุเท่านั้น ซึ่งฤาษีเขาก็มีกระดูกเป็นพระธาตุเช่นกัน) 

บักสีเด๋อถามว่า การพึ่งเกิดก็ยังพึ่งไม่ได้ เพราะเกิดยังไม่มาก แต่คนแก่พึ่งแก่ยังไม่ได้ พอป่วยแล้วก็กลับบ้าน พึ่งตายพอได้ (พ่อท่านว่า การพึ่งเกิดนี้หมายถึงหลายๆ อย่าง ทั้งการกินก็คือพึ่งเกิด การเจ็บป่วยเราก็ดูแลกันพอได้อยู่ 

การนั่งหน้าฟังธรรม เป็นการยึดถืออภินิเวส จนคนไม่กล้ามานั่งแทน เพราะเอาผ้ามาปูจองพื้นที่ไว้ มันก็เกินไป ... การมีคู่ รักกับชังจึงแยกกันยาก เมื่อแต่งงานกันแล้ว จึงผูกพันเพื่อเติมรักและชังใส่กันให้เป็นคู่วิบากเข้าไปอีก เรื่องคู่ ก็คือเรื่องทุกข์ที่ต้องพยายามลด และควรลดทันทีเลย การลดกามด้วยเรื่องอาหารนั้น มันยิ่งกว่าคู่ (หมายถึง มีโอกาสได้ผัสสะมากกว่าไปผัสสะกามรสกับคู่) พ่อท่านว่าปฏิบัติกับอาหารเพียงเรื่องเดียวนี้แหละ ที่จะทำให้คุณบรรลุอรหันต์ 

จากผู้กล้าฝ่าด่านอรหันต์ อยากจะรายงานการพบอโศก ปี ๔๖ ปฏิบัติกับค่ายหมอเขียว รายงานสารพัดรูปแบบตามประสาคนใต้ (พ่อท่านตอบว่า การเข้ากระแสโสดานั้น ควรจับให้มั่นๆ ว่า เอากิเลสตัวหยาบๆ ที่คุณติดมากๆ ว่าคือตัวไหนกันแน่ ตนเองต้องรู้เอง) 

กุสโลบายที่จะออกจาก อรูปอัตตา ทำยังไง (โอ้โห เอางั้นเลยเหรอ พ่อท่านถามว่า คุณชัดเจนในการออกจากโอฬาริกอัตตาแล้วหรือยัง คำว่า อรูปอัตตานั้น เขาจะไม่ถามใคร เพราะจะมีญาณปัญญารู้เอง ว่าจะมีอะไรเหลืออยู่เพียงน้อยๆ แล้วคุณจะอยากออกเอง หรือไม่อยากออกเอง เพราะมันเป็นอรูปที่รู้ยาก) 

ความคิด(สัญญา)ที่เกิดจากข้างใน ไม่มีผัสสะ เกิดจากอะไร (ข้างในไม่มีผัสสะหรอก ท่านจึงไม่เรียกว่า โผฏฐัพพารมณ์ เพราะโผฏฐัพพะนั้นจะต้องเป็นผัสสะที่เกิดจากทวารนอก ๕ เท่านั้น คือตาหูจมูกลิ้นและกาย ส่วนภายในที่มีเพียง มนายตนะกับธัมมายนะนั้น เกิดเป็น “การปรุงแต่ง” ไม่ใช่เกิดเป็น “ผัสสะ” คุณคิดก็เท่ากับเอาสัญญาเก่ามาปรุงแต่งใหม่ สัญญาคือการกำหนดหมายสิ่งหนึ่ง 

พ่อท่านเผยว่า ไอน์สไตน์ที่บอกว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ .. แท้จริงแล้วจินตนาการของเขา ก็คือสัญญาเดิมของเขานั่นเอง เขาคิดสูตรปรมาณูได้นั้น ก็ไม่ใช่ของใหม่เลย ก็ของเก่าของไอน์สไตน์นั่นเอง เมื่อคุณเป็นอนาคามี คุณจะไม่ถามเรื่องสัญญากับอาตมา คุณจงมาเรียนการจัดการกับการปรุงแต่ง นี้เถอะ 

พระไปบริจาคโลหิต โดนพยาบาลผู้หญิงแตะต้องตัว ท่านจะอาบัติหรือขาดจากพระไหมครับ (พ่อท่านสอนว่า ถ้าคุณเคร่งมาก ก็ให้หาหมอผู้ชายมาเจาะ แต่ถ้าคุณไม่มีกิเลสเกิดเพราะเรื่องแค่นี้ คุณก็ไม่มีกิเลสเกิด แต่ว่า โลกจะติเตียนเอา ก็ประมาณให้ดี) 

มีผู้ชมจะขอบริจาคเงินทำบุญช่วยเหลือกิจการ FMTV พ่อท่านอธิบายถึงผู้มีสิทธิ์ที่จะบริจาคได้ตามกฎกติกาของเรา พ่อท่านเผยว่า อโศกต้องพึ่งตนเอง ไม่ควรพึ่งการบริจาคจากใคร ยกเว้นบางคราว เช่น ไปช่วยน้ำท่วม ไปชุมนุมทำเนียบ เป็นต้น พอหมดงานก็ปิด 

อโศกกินน้ำผึ้งได้ไหม (ถ้าคุณเคร่งก็ไม่ ถ้าคุณอนุโลมก็กินได้)

รวม ๒ ชม. ๐๘ นาที (เริ่ม 18:05 จบรายการเมื่อ 20:13 น.)

ไม่มีความคิดเห็น: