วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

55-3-18 บันทึกย่อพ่อเทศน์ วิถีอาริยธรรม


เขียนโดย.. ใจแปลง สู่แดนธรรม
บันทึกย่อพ่อเทศน์ วิถีอาริยธรรม FMTV บ้านราชฯ ตอน "ให้รู้จักความเป็นอรหันต์"
อา. ๑๘ มี.ค. ๒๕๕๕ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๔ ปีเถาะ เริ่มเวลา 09:05 น.

พ่อท่านพาไหว้พระ ท่านฟ้าไทเกริ่น พ่อท่านพยายามสอนให้รู้ปรมัตถธรรมอย่างละเอียด วานนี้มี sms ถามว่าทุกวันนี้มีพระอรห.ที่เป็นผู้หญิงไหมล่ะ (พ่อท.ว่าอยากรู้ต้องมาดูที่อโศก วันนี้จะสื่อสอนให้รู้จักอรหัตตผลไปตั้งแต่ อรหันต์ในโสดาฯ ในสกิทาฯ ในอนาคาฯ และอรหันต์ในอรหันต์ คือให้รู้จักดับความเป็นสัตว์ให้ถูกตรงแม่นยำ)

ปัญหาเรื่องซองผ้าป่ากับพระสร้างวัด พ่อท.ว่าพระไปสร้างวัดไม่ได้ จะมีวัดก็เป็นหน้าที่ของฆราวาสเขาจัดการสร้างขึ้นมา พระจะสร้างอะไรลงไปจะต้องได้รับฉันทานุมัติของสงฆ์ หากสงฆ์ไม่อนุญาตแล้วขืนสร้างลงไปก็จะอาบัติ แม้หากมีญาติโยมปวารณาให้สร้างได้ ก็จะสร้างไว้เพียงเล็กน้อยแค่กว้าง ๗ คืบ ยาว ๑๒ คืบของพระสุคตเท่านั้น

เข้าเรื่องการสร้างบรมภาวะ ๕ อันประเสริฐ เหตุแรกคือสร้างทำตนเองให้มีภาวะอิสรเสรีภาพ ทำจากการเรียนรู้ไตรสิกขา ขยายไปเป็นจรณะ๑๕ จนเกิดผลมีสาราณิยธรรม๖ มีพุทธพจน์๗ และพ่อท.เริ่มสอนเข้มขึ้นไปถึงหน้าที่และคุณสมบัติของอายตนะ จาก พตปฎ. ล.๒๕ ข.๑๕๘ ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่.. (แต่มีอยู่อย่างไรพ่อท่านจะอธิบายไปเรื่อยๆ อาจจะแวะบ้างก็ขอให้ตั้งใจติดตามฟังดีๆ)


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่.. ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่ง อาตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ”

พ่อท่านว่า นิโรธและนิพพานของพุทธนั้นมีสัญญารู้จักอายตนะว่าทำงานโดย ไม่ตั้งอยู่ ไม่อุบัติ หาที่ตั้งอาศัยไม่ได้ ไม่ใช่จะมีเมืองนิพพาน หรือมีเมืองอายตนะนิพพานดังที่สำนักใหญ่เขาสอนให้คนหลงเพ้อ

พ่อท่านเขียนไว้ว่า อายตนะนั้นมีหน้าที่เพียง มาทำให้ผู้ปฏิบัติที่สัมมาทิฐินั้น ได้อาศัยรู้ถึงการดับสัตว์หรือปล่อยสัตว์ที่ถูกผูกไว้ สัตว์ที่มีอวิชชาจึงสังขารแต่อกุศลปะปนกุศล พ่อท่านจะสอนให้ถ่องแท้ เพื่อให้กระทำใจให้เป็น ... เมื่อสัมมาทิฐิแล้วเกิดสัมมาปฏิบัติ กำจัดเหตุสมุทัยที่เกิดสัตว์ (สัตว์ทางจิตวิญญาณนะ ไม่ใช่สัตว์ทางสรีระเป็นตัวเป็นตน) ความเป็นสัตว์ก็ไม่เกิดอีก เพราะวิญญาณของความเป็นสัตว์ได้ดับสิ้นไป ตายสูญไม่เกิดอีก แม้จะก่อสังขารยังไงๆ ก็ไม่มีสัตว์มาเกิดปรุงร่วมอีกเลย

พ่อท่านนำปฏิจจสมุปบาทมาขยาย ให้รู้ไปตั้งแต่การมีอวิชชาที่โง่ๆ ก็เป็นเหตุให้เกิดสังขารปรุงแต่งโง่ๆ สังขารนั้นอุปมาด้วยหยวกกล้วย ปอกกาบใบออกไม่พึงได้แม้แต่กระพี้ ไม่พึงได้แก่น ย่อมเป็นของว่างเปล่า ส่วนวิญญาณนั้นก็อุปมาดั่งมายากล หาสาระมิได้ เป็นของว่างเปล่า คุณมีวิญญาณเป็นสัตว์สารพัดที่จะหลอกกัน อยากได้มาบำเรอสมใจก็เป็นสัตว์เทพ (ก็หลอกให้คนอื่นเอาอย่าง อยากได้ความสุขนี้อีก) จงเรียนรู้ฝึกระงับกายสังขาร ระงับจิตสังขาร ว่ามันมีเหตุยึดสัตว์เอาไว้อย่างไร สัตว์คือเดรัจฉานที่โง่อวิชชา ตนไม่รู้ว่าโง่แล้วก็ยังเพิ่มพลังกิเลสให้แข็งแรงหนาแน่นยิ่งขึ้นอีก ต้องรู้จักเหตุของสังขารคือ อวิชชาที่มีอยู่ในอุปาทาน

ผู้มีผัสสะ รู้จักการแยกแยะวิญญาณ แยกสัตว์โอปปาติกะออก สัตว์นี้พอตายไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก คือจะมีแต่สวรรค์-นรกเท่านั้นที่เป็ นอยู่กับมัน ... สังขาร วิญญาณ นามรูป เมื่อคุณสามารถแยกนามแยกรูปได้ อ่านรู้นามกายของสัตว์นรก (ตัณหา อุปาทาน ด้วยกามตัณหาตัวใคร่อยาก ทำให้เกิดความเป็นสัตว์นรก ดิ้นรน อยากเสพรสอร่อย นั่งเครื่องบินไปกินของอร่อยแล้วก็กลับ ก็มี) พอคุณได้เสพจนสุขสมใจแล้วก็ได้เป็นสมมุติเทพชั่วคราว และสัตว์นรกก็ถูกดับลงไปชั่วครู่ นี้คือวิญญาณอุปมาด้วยมายากล ไม่มีแก่นสารอะไร เป็นของว่างเปล่า

ส่วนวิญญาณของอรหันต์ก็อย่าเพิ่งไปสรุปว่า เกิดหรือไม่เกิดอีก เมื่อคุณสามารถแยกแยะนามรูปจนเห็นสัตว์เป็นเหตุอยู่ ดังนั้นการจะขจัดจึงต้องอาศัยผัสสะไปกระทบให้สัตว์มันแสดงตัวขึ้นมา

ผัสสะมีอายตนะเชื่อมจากนอกไปหาใน จึงเกิดเวทนาเป็นวิญญาณผีหลอก หรือเทพหลอก เมื่อจับวิญญาณผีได้ หรือผีแปลงตัวเป็นเทวดาก็ถูกจับได้ตอนที่มันหิวอาหารนั่นแหละ อาศัยอายตนะ๑๐ (ที่เป็นพหิทธา เฉพาะ๕ทวารนอก ดับกามภพที่เกิดจาก ๕ ทวารนอก /ผู้บันทึก) ...

พ่อท่านกำลังสอนขบวนการต่อสู้จนเกิดความสูญ ความว่าง ไม่มีวิญญาณของสัตว์นรกชั้นต่ำเหลืออยู่ แต่วิญญาณที่เป็นธาตุรู้ก็ยังทำหน้าที่ ของมันอยู่ ไม่ดับการรับรู้ไปเลย มีเพียงสองอายตนะภายใน คือ มโนวิญญาณหรือมนายตนะ กับธัมมายตนะเท่านั้น ที่เป็นเรื่องที่จะศึกษาของพระอนาคามี อารมณ์ของจิตวิญญาณก็.. ในขณะท่านยังมีชีวิตก็ไม่วุ่นวายด้วยกามราคะหยาบๆ จะมีแต่อุปปาติกะเท่านั้นที่ยังเดือดร้อนด้วยรูปราคะ-อรูปราคะ คือพลังงานเหล่านั้นมันเหลือน้อยมากเหมือนแบตตารี่ที่ใกล้หมดไฟ ... แล้วพ่อท่านพาข้ามไปถึงขั้นอรหันต์ เมื่อร่างกายตายแล้วจะปรินิพพาน จึงครอบงำหมด ดัง ล.๓๑/๖๕๘ ที่ว่า ...

เมื่อสัมปชานบุคคลปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ความเป็นไปแห่งจักษุนี้ย่อมหมดสิ้นไป และความเป็นไปแห่งจักษุอื่นก็ไม่เกิดขึ้น ความเป็นไปแห่งหู ฯลฯ ความเป็นไปแห่งจมูก ความเป็นไปแห่งลิ้น ความเป็นไปแห่งกาย ความเป็นไปแห่งใจนี้ย่อมหมดสิ้นไป และความเป็นไปแห่งใจอื่นก็ไม่เกิดขึ้น นี้ความครอบงำความเป็นไปแห่งสัมปชานบุคคล สูญมีประโยชน์อย่างยิ่งกว่าความสูญทั้งปวง ฉะนี้แล (มีต่อ)

ใจแปลง สู่แดนธรรม เขียนต่อในช่องความคิดเห็น ว่า ...

พ่อท.พาแวะ โดยสอนให้รู้จักลัทธิหรือสำนักที่ไปหลงสร้างสวรรค์หลอกขึ้นมา โดยตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นของหลอก แล้วก็ยังไปหลอกให้คนอื่นเลื่อมใสเชื่อถืออย่างฝังแน่นกันอีก ... คนที่อวิชชาเมื่อไม่รู้ไม่เข็ดหลาบในนรก ก็ย่อมไม่กลัวนรก จึงไปสร้างนรกกันต่อ พอไปตกนรกก็ตกนานจริง แต่พอมาเกิดใหม่ก็จำไม่ได้ ไม่เข็ดหลาบ แล้วก็มาสร้างเหตุนรกใหม่ในตอนที่มีชีวิตเป็นๆ กันอีก

เมื่อพระอรหันต์ตายแล้วแต่จิตยังต่อภพอยู่ ... (พ่อท่านก็แวะอีก หรือแม้แต่บารมีของพระอนาคามีที่เก่งๆ ท่านก็สามารถเป็นผู้ครอบงำกิเลสทั้งปวงด้วยอรหัตมรรค (อรหัตตมัคเคนะ สัพพกิเลสานัง ปวัตตัง ปริยาทิยติ) ได้แล้ว พ่อท่านเคยสอนว่าอรหัตมรรคนั้นถึงขั้นไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์๕ได้แล้ว แต่ยังไม่มีผลถึงสุญญตา)

พระอรหันต์นิพพานไม่มีมนายตนะ ไม่เหลือธุลีละอองของอุทธัจจะ ฯลฯ ซึ่งอธิบายถึงตอนนี้ก็ยากขึ้นแล้ว ถึงแม้จะยาก จะไม่มีใครเข้าใจตามนี้แต่พ่อท่านก็ไม่ท้อที่จะบอกสอน ก็จะต้องสอนกันใหม่ซ้ำๆ ซากๆ อย่างนี้โดยไม่รู้เบื่อ

พระอรหันต์เมื่อยังสร้างภพต่อ ก็ไปอยู่ที่ภพดุสิต มีเพียง มนายตนะและธัมมายตนะเท่านั้น (ท่านฟ้าไทถามด้วยความอยากรู้ว่า พระอรหันต์ตายแล้วท่านจะรู้ตัวไหมว่าท่านตายแล้ว พ่อตอบว่าท่านก็ย่อมรู้ตัวอยู่ว่าตนเองตายและเป็นไปอยู่กับโอปปาติกะเท่านั้น เรื่องแค่นี้แม้พระอนาคามีท่านก็รู้แล้ว

พระอรหันต์ดับวิญญาณของสัตว์หมดสิ้น เหลือแต่วิญญาณพระเจ้าที่มีอัปปมัญญา มีพลังเมตตากรุณา มีสัญญากำหนดรู้ร่วมผู้อื่น เหลือแต่ธาตุรู้ที่ไม่แสวงหาภพเกิดเพื่อตนอีก ท่านกำหนดเองที่จะเกิดเป็นอะไร วิญญาณไม่ได้เป็นสัมภเวสีอย่างคนโลกเก่าอีกแล้ว

ท่านฟ้าไทถามถึงพระโพธิสัตว์สายปัญญา (พ่อท่านตอบทันทีว่า ท่านจะปรุงขึ้นมาจากการเรียนรู้ร่วมกับเขา ไม่ได้ปรุงขึ้นใหม่ แต่ปรุงเอาจากสิ่งที่เขาเกิด เขามี เขาเป็นนั่นแหละ)

ถามอีกว่า กำหนดได้ไหมว่าจะเลือกเกิดเป็นอะไรในบางยุค (ตอบ.. ถ้าจะเกิดได้ก็เกิดได้ตามบารมี ต้องมีเหตุปัจจัยที่พอเหมาะ หากอยากเกิดเป็นสิ่งนั้น ก็ต้องมีพ่อแม่ที่เหมาะสมกับยุคสมัย แล้วจึงหยั่งลงมาเกิด ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยพอเหมาะก็เกิดในยุคนั้นไม่ได้)

ท่านฟ้าไทถามอีกว่า พวกผมจะรู้ไหมว่าจะต้องตามมาเกิด (พ่อท่านว่าไม่รู้หรอก แต่มันจะเกิดขึ้นจริงตามสัจธรรม ไม่ได้เกิดตามความอยาก จะมีแต่พลังที่สมเหมาะสมควรไปตามเหตุปัจจัย แม้คุณไม่อยากเป็นเลย แต่พอมีเหตุปัจจัยอันพอเหมาะก็ต้องได้ทำหน้าที่ เช่น พ่อท่านในชีวิตไม่เคยคิดอยากมาเป็นครูเลย แต่เหตุปัจจัยก็ต้องมาเป็น และเป็นครูสั่งสอนทางจิตวิญญาณอีกด้วย เพราะจำนนต่อความจริงที่จะต้องเป็น

รวมเวลา ๒ ชม. ๐๒ นาที


ไม่มีความคิดเห็น: