วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

55-3-31 บันทึกย่อพ่อเทศน์ เรียนอิสระฯ



ตอน.. "สุตมยญาณที่ควรกำหนดรู้"
บันทึกย่อพ่อเทศน์ เรียนอิสระฯ FMTV บ้านราชฯ
เสาร์ ๓๑ มี.ค. ๒๕๕๕ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง เริ่มเวลา 18:03 น.
บันทึกย่อโดย ใจแปลง สู่แดนธรรม
ที่มา :  http://www.facebook.com/groups/188545584512043/permalink/376692889030644/


พ่อท่าน ท่านเดินดิน ท่านฟ้าไท ร่วมกันจัดรายการ วันนี้พ่อท่านจะอธิบายนำร่องก่อนเข้างานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๓๖ งานที่สอนให้คนได้รับความประเสริฐอย่างนี้ คืองานสำคัญของพ่อท่านทั้งชาตินี้และชาติหน้า ให้คนสั่งสมความเป็นปัจจัตตัง เป็นสยังอภิญญา มีความรู้ยิ่งด้วยตนเอง จะเป็นธรรมกถิกะที่ควรแก่ฐานะเป็นครูผู้แสดงธรรม 


ชีวิตมนุษย์น่าสงสารที่ไม่มาใส่ใจเรียนรู้เอาพุทธธรรม จนได้ความเป็นโสดาบันขึ้นไป คนจึงเสียเวลาไปทำให้ตนเองเป็นปุถุชน ให้กิเลสมันอ้วนใหญ่หนามากขึ้น (คือมันจะมีกำลังอำนาจใหญ่ขึ้น) ยิ่งได้บำเรอความสมใจในสิ่งที่ชอบ ก็ยิ่งสั่งสมให้มันหนามากขึ้น แล้วก็จะพาวนเวียนในวัฏฏสงสารอีกนานนานับชาติไม่ถ้วน เมื่อเราเชื่อถือมั่นใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นปราชญ์เอกในโลก พระองค์ทรงค้นพบและกลั่นเอาแต่สุดยอดความประเสริฐ มาสั่งสอนให้ชีวิตเราควรได้รับ พ่อท่านเป็นครูที่จะไม่สอนด้วยการหลอกล่อให้มา แต่การได้บริวารมานั้น เราจะต้องเข้าใจดีๆ ว่า เราไม่มีความอยากได้มาด้วยกิเลส ที่อยากให้เขามาเป็นบริวาร แล้วเราจะได้ความยอมรับนับถือ ได้ลาภสักการะสรรเสริญ ฯลฯ แต่เราก็ย่อมรู้จักมีความปรารถนาที่ดี ที่ประเสริฐ

พ่อท่านเอา พตปฎ. ล.๓๑ ข.๕๖ เรื่อง “สุตมยญาณ คือ ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมะ ที่ได้สดับมาแล้ว ว่า ธรรมเหล่านี้ควรกำหนดรู้” มาอ่านให้รู้บัญญัติไปก่อน โดยยังไม่ได้อธิบายจำแนกให้รายละเอียด ซึ่งน่าสนใจมาก (ผมเข้าใจแล้วว่า พ่อท่านเห็นทีที่จะต้องเปิดโลกแห่งการศึกษา ที่จะทำให้คนชาวอโศกได้มรรค ได้ผลไปจนถึง อรหัตตผล ให้ได้กันแล้วจริงๆ นับจากปีนี้เป็นต้นไป) เพราะสิ่งที่จะสอนต่อจากนี้นั้น คือ สิ่งที่ควรกำหนดรู้ ในการเตรียมตัวเป็นโสดาบัน ไปจนถึงควรกำหนดรู้การเป็นอรหันตบุคคล เริ่มจาก ควรรู้จักญาณชนิดที่หนึ่ง คือ "สุตมยญาณ" ดังนี้ ...

[๕๖] ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมา คือ เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรกำหนดรู้ เป็น สุตมยญาณอย่างไร ฯ

ธรรมอย่างหนึ่งควรกำหนดรู้ คือ ผัสสะอันมีอาสวะ เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน
ธรรม๒ ควรกำหนดรู้ คือ นาม๑ รูป๑
ธรรม๓ ควรกำหนดรู้คือ เวทนา๓
ธรรม๔ ควรกำหนดรู้ คืออาหาร๔
ธรรม๕ ควรกำหนดรู้ คืออุปาทานขันธ์๕
ธรรม๖ ควรกำหนดรู้ คืออายตนะภายใน๖
ธรรม๗ ควรกำหนดรู้ คือ วิญญาณฐิติ๗
ธรรม๘ควรกำหนดรู้ คือ โลกธรรม๘
ธรรม๙ควรกำหนดรู้ คือสัตตาวาส๙
ธรรม๑๐ควรกำหนดรู้ คืออายตนะ๑๐ ฯ

และต่อจากนี้คือ สิ่งที่ลูกๆ อโศกควรเอาใจใส่ในขบวนการของผัสสะว่า มีขบวนเริ่มจากอะไร ไปหาเวทนาได้อย่างไร

[๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงควรกำหนดรู้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งทั้งปวงที่ควรกำหนดรู้คืออะไร คือ ตา -> รูป -> จักขุวิญญาณ -> จักขุสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือแม้อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะ จักขุสัมผัส เป็นปัจจัย ควรกำหนดรู้ทุกอย่าง ฯ
หู... จมูก.. ลิ้น... กาย... ใจ > ธรรมารมณ์ > มโนวิญญาณ > มโนสัมผัส > สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือแม้อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ควรกำหนดรู้ทุกอย่าง ฯ

ฯลฯ ซึ่งพ่อท่านอ่านไปจนถึงข้อที่สอนว่า เมื่อกำหนดรู้แล้ว ก็ ควรละ (ปหาตัพพา) และไปถึงขั้นที่ว่า ควรละทุกอย่าง (สัพพัง ปหาตัพพัง) ... ผมขอเว้นไปก่อน ไม่นำสิ่งที่พ่อท่านอ่านนั้นมาลงไว้ จะเอามาเสนอก็เฉพาะแต่คำอธิบาย ดังนี้

พ่อท่านไล่อธิบายไปทีละหมวดมาตั้งแต่แรก จนมาถึงข้อ สิ่งที่ควรกำหนดรู้ ๑๐ ในสุตมยญาณ นั้น ทำไมท่านผู้รู้จึงเอาแค่อายตนะ ๑๐ มาให้รู้ก่อน พ่อท่านอธิบายว่า เป็นอายตนะภายนอกที่ควรรู้และปฏิบัติก่อน ส่วนอายตนะในอีก ๒ นั้นเป็นเรื่องของอนาคามีและอรหัตตมรรคขึ้นไป ที่จะรู้การทำใจในใจ กับเรื่องอายตนะ๒ คือ มนายตนะและธัมมายตนะ

พ่อท่านจะขยายปฏิจจสมุปบาท แต่แซวว่าท่านเดินดิน ว่า ควรซักถามบ้างสิ .. ปรุงถามเผื่อคนอื่นบ้างสิ (คนฟังฮา) อวิชชาเป็นเหตุจึงปรุงแต่ง(สังขาร)ไปโดยความไม่มีแก่นสาร เหมือนฟองน้ำ เหมือนพยับแดด เหมือนหยวกกล้วย มันเป็นของว่างเปล่า ตัววิญญาณหรือใจรู้นี้ เราต้องสร้างญาณตัวแรกที่ไปรู้จักสัตว์นรก รู้เปรต คือญาณขั้น “นามรูปปริเฉท” (ผมเข้าใจว่า คำว่าสัตว์ก็ดี ปาณะก็ดี ภูตะก็ดี ชีวะก็ดี ก็คือคำไวพจน์เดียวกัน สัตว์จึงหมายถึงจิตวิญญาณ เช่นเดียวกับคำว่า ภูต ปาณะ ชีวะ ก็คือจิตวิญญาณ สัตว์จึงไม่ใช่เป็นสัตว์แบบเป็นตัวเป็นตน)

ท่านฟ้าไทแทรกความเห็น พ่อท่านตอบว่า คนที่ไปทำอาการให้ผู้อื่นเห็นว่าเอร็ดอร่อยนั่นแหละ คือ การที่วิญญาณเป็นนักมายากล ที่หลอกกันด้วยสัตว์ผี วิญญาณผี ให้เกิดอุปาทานไปตามๆ กัน

ผัสสะ มีอายตนะนอก ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทำให้เป็นสัตว์ผีหรือสัตว์เทวดาที่เกิดโดยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งให้รู้จากอายตนะหยาบไปก่อน ผัสสะเกิดเวทนา ลงไปเป็นตัณหา ตัณหาจึงเป็นเหตุแท้ หรือเป็นสมุทัยแท้ที่ทำให้เกิดทุกขอริยสัจ

อาสวะเหมือนจุลินทรีย์ที่หมักดอง แตกตัวอยู่ในก้นบึ้ง ผู้ที่กดข่มทำสมาธิให้สงบไว้ จึงยากที่จะรู้เห็นตัวตนของอาสวะมันตื่นตัว หรือโผล่หน้าขึ้นแสดงตัว จึงยากแก่การขจัดหรือปหานตัวมัน ผู้เข้าใจนามรูปแล้ว ไปปฏิบัติกับผัสสะ กำจัดตัณหาโดยการพิจารณาให้เห็นโดย อนิจจสัญญา อนัตตสัญญา อสุภสัญญา ฯลฯ จนเกิดญาณเห็นความน่าเบื่อหน่าย เห็นจิตมีการปลดเปลื้องปล่อยออกไป จนตามเห็นความดับ

เมื่อคุณหมดอุปาทานในขันธ์ ๕ ภพก็ดับกามภพออกไป ดับรูปภพ ดับอรูปภพลงไปได้ ไม่เหมือนกับผู้ที่หลงนึกว่าตนเองเป็นอรหันต์ ที่ยังไม่รู้จักภพดีพอเลย จึงยังติดการเสพบุหรี่ เคี้ยวหมากอยู่ ... พ่อท่านว่า ภาวนาไม่ใช่การปฏิบัติหรือเกิดมรรค แต่ภาวนานั้นคือการเกิดผล โดยเฉพาะผลทางจิตที่เห็นแจ้ง (สัจฉิกตวา) จากการปฏิบัติจนจิตหลุดพ้นได้ ปหานเก่งจนไม่ต้องออกแรงอีก เก่งพอพียงเหมือนยาหม่องทาไว้ พอมีปลิงมาเกาะปลิงก็เผ่นหนีหลุดไปเลย

ท่านเดินดินสรุปก่อนจบ เราเจอผัสสะชอบใจ-ไม่ชอบใจ ต้องอ่านจิตว่าทันไหม ควรย้ำตนเองอยู่เสมอว่าเรามีความยินดีในการมีผัสสะไหม จอมยุทธ์ถ้าเสียบคนอื่นก็เป็นจอมยักษ์

คอยอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อีก ในวันงานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ ๓๖ นะครับ สู่แดนธรรมจะนำมาเสนอให้เข้าใจ โดยความเอาใจใส่อย่างดีเช่นกัน ครับ


ไม่มีความคิดเห็น: