วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

55-3-21 บันทึกย่อพ่อเทศน์ เรียนอิสระฯ


บันทึกโดย ใจแปลง สู่แดนธรรม
บันทึกย่อพ่อเทศน์ เรียนอิสระฯ FMTV บ้านราชฯ ตอน "เรียนรู้จักวิญญาณให้ดี"
พุธ ๒๑ มี.ค. ๒๕๕๕ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีเถาะ เริ่มเวลา 18:03 น.

วันนี้มีท่านฟ้าไท ร่วมรายการ พ่อท.จะสอนเรื่องลึกๆ ในปรมัตถ์ของวิญญาณ โอปปาติกะ ท่านฟ้าไทเอาข้อเขียนถามกวนๆ ของ รอ.เกียรติทวี มาอ่านเรื่อง โลกของโอปปาติกะ ที่มีความเห็นของท่านพุทธทาสกล่าวไว้ ในการที่คนไปหลง“ศุภนิมิตวิปลาส” ของโอปปาฯ (ก็คือ อศุภะ นั่นแหละ) ... ผู้ฝึกสำเร็จแบบธรรมกาย ไปมีหมู่บ้านดุสิตธานีบุรีรมย์ เสียดายที่ชาวอโศกไม่มี ซึ่งชาวอโศกก็ยังต้องผุดเกิดเป็นโอปปาฯเช่นกัน .. อ้างทิฐิของหลวงปู่ดุลย์ที่สอนว่า “สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ทุกสิ่งล้วนไม่มีตัวตน อันพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ และคนปุถุชน ก็ล้วนแต่มีตัวตนขยุกขยิกเหมือนกันหมด” ฯลฯ



พ่อท.ว่าเป็นภูมิแสดงความรู้ของผู้นั้น พ่อจึงเข้าใจความรู้ของเขา ซึ่งคนส่วนใหญ่ล้วนเข้าใจโอปปาติกะกันอย่างนี้ไปหมด แต่ก็ไม่เคยเข้าถึงความจริงอย่างนั้นกันเลย แม้ผู้ไปนั่งสมาธิเห็นก็จะเห็นไปตามภพภูมิความรู้ (ที่ยังไม่ใช่ความรู้ของผู้มีวิชชาและจรณะ /ผู้บันทึก) พ่อท.เตรียมตัวมาอย่างดีกะว่าจะอธิบายให้แจ่มแจ้ง แต่ว่า วันนี้มีเด็กนักเรียน สสธ. มาเรียนธรรมกัน เกรงว่าจะให้บทเรียนที่หนักเกินไป จึงขอข้ามไปอธิบายในวันอาทิตย์ วันนี้จึงขออธิบายแค่เบื้องต้นผ่านๆ ในเรื่องของอรหันต์ที่มีนัยยะสำคัญ ที่จะต้องต่างกันกับความเห็นของอาจารย์อื่น

ซึ่งการเห็นต่างกันก็ย่อมมีการยืนยันความเห็นว่า สิ่งนี้ถูก สิ่งนั้นผิด สิ่งนั้นยังมิจฉาทิฐิอยู่ ก็ไม่ได้หมายว่าไปข่มผู้อื่นเลย และพ่อท.ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะต้องระบุให้รู้ความรู้อันแท้จริง

เอาเรื่องแรกเลยคือสมมุติสัจจะ อันโลกียะนั้นเป็นสมมุติสัจจะ พระอรหันต์ก็ให้ความสำคัญกับสมมุติสัจจะ ท่านก็ไม่ได้ยึดเอาสัจธรรมความถูกต้องนั้นว่า สัจจะเป็นของเราอยู่กับอัตตาของเราหรอก สมมุติสัจจะมันก็ไม่เที่ยง แต่ท่านก็ยังเอาด้วยกับสมมุติสัจจะ คือ ยอมรับการกำหนดรู้ร่วมกันของหมู่ชนส่วนใหญ่ที่เขาตกลงเห็นด้วยกันว่า สิ่งนี้ดี ควรทำ ควรส่งเสริม สิ่งนี้ไม่ดี ไม่ควรมีขึ้นในสังคม หรือแม้ว่าในสังคมส่วนใหญ่เขาหลงผิดว่ามันดีเลิศ เช่นอบายมุข แต่ท่านเห็นโดยส่วนตนว่าไม่ดี ท่านก็ยืนยันในสิ่งที่เป็นการปลอดอบาย ควรจะดีกว่า แต่ถ้าท่านยืนยันจนถึงที่สุดแล้ว เมื่อเหตุถึงที่สุดวิสัยแล้ว ท่านแพ้ ประชาชนทั้งหลายชนะ ท่านก็ละวางความเห็นที่ว่าดีของท่าน

ส่วนคนอื่นๆ ที่ยังมัวยึดอยู่ ก็จะเห็นว่าการยอมของท่านเป็นลักษณะของคนโง่ พ่อท.สอนถึงการจะเอาจริงเอาจังขนาดไหน พระอรหันต์ก็รู้ขอบเขตทำได้แค่แค่ ปฏิกโกสนา คือ การกล่าวคัดค้านจังๆ ด้วยเหตุผลข่มขี่ที่มีน้ำหนักมาก แต่ไม่ถึงกับการทะเลาะรุนแรง ชนิดที่จะเอาชนะคะคานกันแบบ อุกโกฏนาหรอก ท่านต้องรู้จักสัปปุริสสธรรม คือการรู้ประมาณในสิ่งต่างๆ ของสัตบุรุษ หากเห็นว่า ถ้ายังยืนหยัดยืนยันอีกต่อไป คงไม่เกิดผลดี จะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งบานปลาย เกิดความระแหงยิ่งขึ้น ท่านก็จะยอมและวางใจไปกับความเห็นของหมู่เขา ... ซึ่งหากหมู่เขาหันหน้าจะไปสู่ความเสื่อม มันก็จะก้าวไปสู่ความเสื่อมให้เห็นผลได้โดยไวอยู่ดีนั่นแหละ

คนที่จะรู้จักใช้สัปปุริสสธรรม ๗ ได้ดีนั้น ก็คือ ผู้ที่มีปฏิสัมภิทา ๔ คือ
๑. อัตถปฏิสัมภิทา ฉลาดในเนื้อแท้แห่งสัจจะ-เป้าหม
าย
๒.ธัมมปฏิสัมภิทา ฉลาดในเนื้อแท้แห่งธรรม
๓.นิรุติปฏิสัมภิทา ฉลาดในภาษาท่าทางแสดงออก
๔.ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ฉลาดในการใช้ไหวพริบ ...

การใช้ภาษาท่าทางปรุงแต่งนั้น ก็ไม่ได้ทำเพื่ออยากได้ลูกศิษย์เพิ่มหรอก แต่การมีลูกศิษย์เพิ่มขึ้นนั้นก็เป็นการดี แต่การได้มานั้นท่านจะอ่านใจตนเองว่า ท่านอยากได้มาเป็นของตัวของตนไหม อยากให้เขามาเป็นบริวารจนดูอลังการไหม ท่านจะทำใจเป็น (ต้องแยกกันให้ออกนะ ระหว่างความมีขึ้นมาเองตามธรรม กับความอยากมี มันคนละสภาวะกัน)

การปฏิบัติของสกิทาคามี กว่าจะหมดเชื้อไม่ติดกาม ไม่ติดอัตตาที่เกิดจากอายตนะ ๑๐ ผู้ปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ ฐานนี้ (ฐานสกิทาคามีมรรคไปหาอนาคามีมรรค) จึงใช้เวลายาวนานมาก จนกว่าจะเข้าข่ายเป็นพระอนาคามีจึงจะรู้จักโอปปาติกะ(หรือโลกของจิตล้วนๆ)ดีขึ้นมาก เพราะศึกษาจากผัสสะแค่อายตนะภายในเพียง ๒ อายตนะเท่านั้น คือ มนายตนะและธัมมายตนะ

โอปปาติกะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังความตายหรอก ตอนที่ยังมีชีวิตเป็นๆ นี่แหละ จะสามารถรู้ใจ รู้จักการกระทำใจในใจ ก็คือการกระทำกับโอปปาติกะหรือจิตวิญญาณนั้นเอง นามธรรมหรือจิตจึงไม่มีรูปร่าง (อสรีรัง) ใครๆ จึงไม่สามารถเห็นการล่องลอยไปมาได้เลย พระอรห.แม้เห็นนิพพานนิมิต ก็คือรูปของสภาวะสิ่งแทนเท่านั้นเอง

พ่อท.อ่านของเขาต่อ “...ชีวิตของชาวโอปปาฯ จึงสำเร็จได้ด้วยใจ” ... พ่อท.จึงอธิบายลักษณะของวิญญาณว่า มันไม่มีรูปร่าง ตายไปแล้วใครๆ ก็ไม่อาจเห็นได้เลย ไม่ได้ท่องเที่ยวล่องลอยไปมา ดังพระไตรฯ ล.๑๒/๔๔๐ และข้อ ๔๔๑ ที่ว่า ... (ท่านพระสาติเข้าใจผิดเห็นว่า วิญญาณท่องเที่ยวไป) ... ดูกรท่านสาติ ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัยมิได้มี

(อันนี้ หลังจบรายการแล้วตอนที่ผมไปเก็บของที่โต๊ะแสดงธรรม ได้กราบเรียนแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งปัจจุบันผมนี้ไม่ค่อยมีข้อสงสัยไปได้ถามพ่อท่านให้มากอีกแล้ว มีแต่อยากจะแสดงความเห็นให้พ่อท่าน รับรู้ว่า ที่สอนไปนั้นก็มีคนรับได้แล้ว เข้าใจได้จนขยายความได้เองแล้ว ว่า "ความเกิดแห่งวิญญาณนั้น เว้นจากปัจจัยมิได้มีเลย ซึ่งปัจจัยความเกิดวิญญาณนั้น เราสามารถศึกษาการเกิดขึ้นได้จาก จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฯลฯ นี้เท่านั้น วิญญาณที่ล่องลอยอยู่เราศึกษาเอาประโยชน์ ไม่ได้เลย ..." ซึ่งพ่อท่านก็บอกว่า ถูกแล้ว ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัยมิได้มี ฯลฯ พ่อท่านยังบอกสอนผมเกี่ยวกับ การทำใจในใจที่เกิดจากอายตนะ ๑๐ แล้วปฏิบัติกับอายตนะ ๒ ว่าเป็นอย่างไร พ่อท่านเองก็เป็นอยู่ปกติไปกับอายตนะ ๑๐ หรือทั้ง ๑๒ อย่างไร

พ่อท.พยายามอธิบายลักษณะวิญญาณให้รู้อีกหลายตัวอย่าง เช่น การตายแล้วตกนรกก็เหมือนกับการนอนฝันร้าย แต่ไม่สามารถดิ้นรนหลุดออกมาจากภพหรือห้วงนรกนั้นได้เลย จนกว่าจะหมดแรงกรรมวิบากอันเป็นจริงของตนนั้น

โลกของโอปปาติกะในทัศนะของพ่อท่านนั้น ไม่ได้ด้นเดา ... ผู้เขียนว่าต่อ มีหมู่บ้านโอปปาติกะของธรรมกาย จัดสรรแล้วให้มีอยู่ในดุสิตธานีบุรี รมย์ น่าเสียดายที่ชาวอโศกไม่มี ฯลฯ ... และเขาอ้างหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ว่า “สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ทุกสิ่งล้วนไม่มีตัวตน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ และคนปุถุชน ก็ล้วนแต่มีตัวตนขยุกขยิกเหมือนกันหมด”

ฝรั่งขี้ยามาพูดสัจธรรมชั้นสูงกับพ่อท่านว่า “ในเมื่อทุกสรรพสิ่งไม่มีตัวตน แล้วผมจะเอาตัวตนที่ไหนไปปฏิบัติ (ให้เลิกเหล้าบุหรี่ไปทำไม) ... พ่อท.พูดถึงสิ่งที่เขาอ้างว่า อโศกไม่มีหมู่บ้านจัดสรร ให้มีอยู่ในดุสิตธานีบุรีรมย์เหมือ นชาวธรรมกาย พ่อท.ว่าอโศกไม่ทำน่ะดีแล้ว คนที่หลอกตนเอง หลงผิดจนตนเองเห็นเช่นนั้น ก็ทำไปด้วยความมักมาก มักหรูหรา ท่านก็ประสพความสำเร็จมากแล้วนะ ในมหาเถรสมาคมยังไม่มีใครสำเร็จเท่าสำนักนี้เลย ก็บุญเช่นนั้นแหละ เป็นบุญมายา สะกดจิตให้คนอื่นศรัทธา ... ฯลฯ

ผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้วจริง จิตท่านจะอยู่กับมโนมยอัตตาทั้งนั้น แต่ท่านไม่หลงในนิมิตนั้น หรือนิมิตนิพพาน หรือสิ่งแทนเหล่านั้นเลย ท่านฟ้าไทถามด้วยความอยากรู้ว่า ถ้าผมคิดถึงพ่อท่าน แล้วพ่อท่านจะรู้ไหม (ไม่รู้หรอก จิตของใครก็ของมัน แม้แต่คนจะอ้างว่า ได้เห็นพ่อท่านมาเยี่ยม ก็ไม่จริงหรอก นั่นเห็นมั่วๆ กันแล้ว) ...

จิตโอปปาติกะแท้ๆ ของพระอนาคามีจึงไม่มีโลกกามภายนอก ไม่มีปัญหากับอายตนะ๑๐ มีเพียงเศษพลังงานของอรูปราคะเหลืออยู่น้อยนิดเท่านั้น จึงมีโอปปาติกะเป็นอยู่กับอายตนะ ๒ เท่านั้น คือ มนายตนะ กับธัมมายตนะ แม้ตอนเป็นๆ อยู่ ท่านก็ไม่มีวิญญาณแล้ว คือวิญญาณท่านดับจากสสังขารภายนอก แล้ว แต่ท่านก็มีธาตุรู้แท้ๆ ของวิญญาณ ที่กำหนดรู้ไปด้วยสัญญาต่างๆ รู้เห็นตามความเป็นจริง ... ฯลฯ ... (มากมาย กระผมพิมพ์ไว้ไม่ทัน แต่ฟังไว้ได้หมด)

ไม่มีความคิดเห็น: