วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

55-4-11 บันทึกย่อพ่อเทศน์ เรียนอิสระฯ

ตอน.. "เรียนรู้จักวิญญาณให้เป็น" 
บันทึกย่อพ่อเทศน์ เรียนอิสระฯ FMTV บ้านราชฯ 
พุธ. ๑๑ เม.ย. ๒๕๕๕ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง เริ่มเวลา 18:05 น.
บันทึกย่อโดย ใจแปลง สู่แดนธรรม
ที่มา :    http://www.facebook.com/groups/188545584512043/permalink/383632888336644/ 

1. พ่อท่าน ท่านเดินดิน ท่านฟ้าไท ร่วมกันจัดรายการ วันนี้ ๑๖ น. มีเหตุแผ่นดินไหวบริเวณเกาะสุมาตรา ที่ๆเราอยู่บ้านราชก็รู้สึกถึงระดับน้ำสะเทือนจนกระเพื่อม พ่อท่านพยายามที่จะเขียนเรียบเรียงให้อ่านเข้าใจ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เขียนแล้วก็แก้ไขอีก .. พ่อท่านอ่านสิ่งที่เขียนมา แล้วอธิบายให้รู้ชัดๆ ถึง วิญญาณเกิดขึ้นได้ เพราะมีปัจจัย สองสิ่งร่วมกัน เช่น ตากับรูป ประชุมกันให้เกิดความรู้ ก็ความรู้นั่นแหละคือวิญญาณ ดังนี้จึงต้องผ่านความเข้าใจให้ถูกต้องก่อน ในทิฐิข้อ๙แห่งสัมมาทิฏฐิ การรู้เพราะมีธาตุรู้ มีวิญญาณฐีติ เป็นภูมิที่ตั้งแห่งวิญญาณ (และในวิญญาณเองก็ย่อมมีภพอันเป็นที่อยู่ของสัตว์อีก /ผู้บันทึก) 



2. ท่านฟ้าไทถามว่า ตายแล้ววิญญาณยังไม่หมดความเป็นสัตว์ (เสียงเบา ไม่ได้ยินครบทั้งประโยค) พ่อท่านตอบว่า เราผูกสัตว์(สังโยคะ)เอาไว้เอง ด้วยความโง่เอง ... พ่อท่านว่าหากไม่รู้จักสัตว์ให้สัมมาทิฐิเสียก่อน ซึ่งเป็นประธานตัวแรกเริ่ม การปฏิบัติไปเพื่อเกิดสมาธิ ก็ย่อมได้มิจฉาผล เช่น สัตตาวาสข้อที่ ๒ กายต่างกัน แต่มีสัญญาเดียวกัน คือ มีสัญญาเห็นเช่นเดียวกันว่าจะทำฌาน (คือทำให้สงัดจากกาม) แต่การไปได้องค์ประชุมเช่นนั้น หรือจะได้กายเช่นนั้น ย่อมได้วิธีการกระทำให้มีกายต่างกัน (เช่น ฤาษีไปสะกดจิตเพ่งลมหายใจ ส่วนของพุทธนั้นเปิดตา หู รับรู้สัมผัสกามวัตถุเห็นๆ แต่ทำใจเพิกเฉยไม่ปรุงกามสังขาร เป็นต้น /ผู้บันทึก)

3. การทำวิญญาณให้พ้นสัตว์ผูกสังโยชน์ไว้ ต้องเข้าใจให้ตรงก่อนว่า ต้องมาศึกษาวิญญาณในกายเราขณะมีชีวิตเป็นๆ นี้เท่านั้น อย่าไปหมายเห็นว่า วิญญาณล่องลอยท่องเที่ยวไป อย่างนั้นเอามาลดละกิเลสไม่ได้ จะต้องมีญาณหรือมีตาทิพย์รู้เห็นวิญญาณ โดยมีวิปัสสนาญาณ คือ มี นามรูปปริเฉทญาณ เช่น รู้อวิชชามีสังขารเป็นปัจจัย มีนามรูปเป็นปัจจัย เป็นต้น

4. วิญญาณที่ยังมิจฉาทิฏฐิ หรือยังมีอวิชชาอยู่นี้แหละก็คือ สัตตา โอปปาติกสัตว์อย่างหนึ่งแท้ๆ ... ท่านฟ้าไทว่า ตอนเรียนปริยัติก็สอนปฏิจจสมุปบาท แต่เวลาปฏิบัติก็พาไปนั่งสมาธิหลับตาสะกดจิต ... เมื่อมีอวิชชาอยู่ ทำการสังขารอยู่ก็ไม่รู้จักสังขาร ก็จะหลงการปรุงแต่งไปในภวังค์สมาธิ ส่วนพุทธเรานั้นรู้จักสังขารที่เป็นสัตว์นรกจริง แม้เป็นเทวดาเก๊ก็รู้ ทำให้เป็นอุปัตติเทพก็รู้ ส่วนผู้ไม่รู้นั้นหลงปรุงแต่งอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์หรือเป็นเทวดา ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองสังขารอยู่ 

5. พ่อท่านนึกสงสารบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่พาลูกศิษย์สังขารกันอยู่อย่างอวิชชา กิเลสเก่าก็ไม่ได้ล้าง กิเลสใหม่ก็สังขารขึ้นใหม่จากการหลงในสมาธินี่แหละ ... พ่อท่านอ่าน ฯลฯ และสอนถึงการทำใจในใจให้ถ่องแท้ ถูกต้อง ย่อมฟังเข้าใจได้ยิ่งกว่าพระอรหันต์ทางโน้นฟังพ่อท่านซะอีก คนถูกก็จะเปิดใจรับ อย่างมีปรโตโฆสะ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในทิฐิเดิมของตน 

6. พ่อท่านอ่านไปตามสิ่งที่เขียนเรียบเรียงมา เพื่อปูพื้นฐานให้เข้าใจ ในระดับสัมมาทิฏฐิ .. ท่านฟ้าไทถามว่า (..? ผมฟังไม่ทัน ประมาณว่า เราจะรู้ได้ยังไงว่า ใครเป็นสัปบุรุษ) พ่อท่านตอบว่า “ก็ให้สังเกตจากผมนี้แหละ” (ผู้ชมขำๆ) ... ฯลฯ พ่อท่านเขียนมาอธิบายได้ดีมาก โยงไปหาอาหารสู่ความหลุดพ้น มีสติปัฏฐานเป็นอาหารให้เกิดโพชฌงค์ เป็นต้น .. และพ่อท่านพยายามสอนว่า รูปคืออะไร นามคืออะไร จึงเป็นการรู้จักวิญญาณ ... ไม่ใช่การไปปฏิบัติผิด นั่งหลับตาทำฌานสมาบัติแบบมิจฉาทิฐิ ต่อไปพ่อท่านจะนำเอามิจฉาทิฐิสูตร มาสอนให้พ้นสักกายะ และพ้นอัตตานุทิฐิ อาจจะแจกขันธ์ ๕ ให้รู้จักวิญญาณกันชัด ว่า ดับวิญญาณนั้นคือทำยังไง ? 

7. ท่านเดินดิน สรุปจบ สัตบุรุษคือ ผู้ที่มาทำกงล้อธรรมจักรให้หมุนไปข้างหน้า อาจารย์พาลดกิเลส ลูกศิษย์ก็ควรลดให้ได้ผล (พรุ่งนี้ ๑๒ เม.ย. พ่อท่านไม่ได้เทศน์ตอนเย็น ส่วนผมเองก็ไปเล่นดนตรี ร้องเพลง บนเวทีภาคค่ำ ครับ)

ไม่มีความคิดเห็น: