วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

55-4-24 บันทึกย่อพ่อเทศน์/ สงคราม สังคมฯ


ตอน.. “นิโรธสัญญาและการปฏิบัติผิดได้มิจฉานิโรธ”
บันทึกย่อพ่อเทศน์ สงคราม-สังคม-ธรรมะ-การเมือง   FMTV สันติฯ
อั. ๒๔  เม.ย. ๒๕๕๕  ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง เริ่ม 18:03 น.
บันทึกย่อโดย ใจแปลง สู่แดนธรรม
ที่มา : http://www.facebook.com/note.php?note_id=227421664024670

คลิปรายการ"สงครามสังคมฯ" โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
 เมื่อ 24 เมษายน 2555 ถ่ายทอดสดจาก fmtv กรุงเทพฯ

1.    พ่อท่านสอนสัญญา๑๐ ต่อ โดยวิจารณ์การสอนนิโรธสัญญาแบบมิจฉาทิฏฐิ ที่หลงผิดไปดับเวทนาขันธ์ ดับสัญญาขันธ์อีกด้วย ซึ่งแท้จริงแล้วดับเฉพาะสิ่งที่อยู่ในเวทนาเท่านั้น มิได้ดับตัวรู้เวทนาขันธ์  เหตุเพราะศึกษาสมาธิผิด ไปทำฌานก็ผิด ณาปนะหรือฌามะนั้นก็คือการเผากิเลสด้วยไฟปัญญา  การทำฌานจึงไม่ใช่การนั่งหลับตา หรือไปสร้างภพในจิตจนเกิดฌาน  แต่ฌานของพุทธนั้นเรียนรู้เหตุและเผาเหตุในการก่อภพ ก่อชาติ  มีอาการที่ปฏิบัติประกอบองค์ฌาน โดยมีทั้งไตรสิกขา จรณะ๑๕  วิชชา๘  มรรคองค์๘  โดยมรรคทั้ง ๗ องค์นั้นนั่นแหละ คือ ทำฌานให้มีไฟเผากิเลส  ดับกิเลสลงจนจิตมีการตกผลึก หรือมีการตั้งมั่น

2.    ภาวนาคือการทำให้เกิดผลคือ ดับกิเลสให้ได้จนเห็นนิโรธเป็นผล ที่กิเลสดับอยู่ๆ (ชานโต ปัสสโต วิหรติ รู้เห็นอยู่โทนโท่เลย) มีผลเป็นเองจนเป็นตถตา คือเป็นเองจนจบ เป็นนิโรธจริงโดยไม่ต้องไปทำอีก จิตอย่างนี้แหละคือจิตที่สมบูรณ์ด้วยสมาธิ คือจิตหมดอวิชชา สำเร็จผลด้วยสัมมาญาณและสัมมาวิมุติ  ฌานก็ย่อมต่างกันกับสมาธิและนิโรธ  การได้ฌาน ได้นิโรธของพุทธแล้วนั้น จึงไม่ต้องเข้าๆ ออกๆ แบบฤาษีที่ไปนั่งเข้าภวังค์ แล้วก็ไปเรียกว่าทำสมาธิคือทำให้จิตสงบ ไม่ค่อยแปลว่าจิตตั้งมั่นหรอก  การข้าวของพุทธนั้นคือเข้าไปแบบอุปปัชชติ คือ บรรลุไปสู่การปฏิบัติแผดเผาด้วยฌาน  ส่วนสำเร็จแล้วคือวุฏฐานะนั้นเป็นการออก โดยไม่ต้องเข้าไปปฏิบัติอีกเลย

3.    จิตหลุดพ้นแล้วก็มีสัญญากำหนดรู้ในการหลุดพ้น  แล้วจึงตามเห็นภาวะต่างๆ (อนุปัสสี) เช่น ภาวการณ์เข้าฌาน เข้าสู่ภาวะสมาธิก็ตามเห็นผลของการตั้งมั่น  เข้านิโรธก็รู้การเกิดขึ้นของนิโรธ ... การทำให้จิตสะอาดขึ้นได้ส่วนหนึ่ง เช่น โสดาบัน จิตก็ย่อมมีการเกิดใหม่ “อุปปัชชติ” ก็คือ มีการปรากฏขึ้นในจิตของตนทั้งฌาน นิโรธ ก็คือการบรรลุเข้าถึงฌาน เข้าถึงสมาธิ ถึงนิโรธ ผู้ปฏิบัติเองได้ผลเองย่อมซาบซึ้งในผลของฌาน สมาธิ นิโรธ ที่ตนเข้าใจถูกต้อง ก็ย่อมรู้ความต่างไปจากฌานที่เขาเรียนกัน

4.    คนอื่นปฏิบัติสมาธิ ปฏิบัติฌานจะอธิบายแบบพ่อครูไม่ได้  พ่อครูอธิบายแบบนี้เพียงคนเดียว จึงไม่เหมือนคนอื่นที่เขานับถือกันทั้งหลาย  พ่อครูบอกให้เขาเปิดใจ มีปรโตโฆสะลองฟัง ลองปฏิบัติตามดู ให้ได้ผลตามที่สอนกันแบบพ่อครูดูบ้าง  แม้ใครจะต้องละทิ้งไปจากสำนัก ก็ไม่ต้องหวั่นไหว เพราะสิ่งที่ได้ผลกับตนแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่พ่อครูพูดสอนอยู่นี้ ไม่ได้เอาการอธิบายมาจากตำรา แต่ตำราหรือพระไตรปิฎกก็ย่อมเป็นสิ่งตรวจสอบผลการปฏิบัติได้  พ่อครูมีพระไตรปิฎกรับรอง ผู้รู้ท่านแปลพระไตรปิฎกได้ตรงตามคำเป๊ะๆ แต่ทำไมเวลาปฏิบัติก็ไปทำแบบอื่น

5.    สัญญาข้ออื่นคือ ข้อ๘. สัพพโลเกอนภิรตสัญญา หมายถึงการกำหนดรู้ในความไม่ยินดีในโลกทั้งหลาย อน ส่วนข้อที่ ๙ คือ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา  (พ่อท่านยกย่องท่านเจ้าคุณปยุตโตว่า ท่านตั้งข้อสังเกตควรใช้คำว่า “สัพพโลเกอนิฏฐสัญญา”  แทน  อย่าไปเอาคำว่า สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ซึ่งมันจะซ้ำกับข้อแรก)  พ่อท่านบรรยายมาถึงข้อที่ ๑๐ คือ อานาปานัสสติ แต่แวะอ่านจดหมายก่อน

6.    มีผู้คิดเห็นมาจากภูเก็ต “ผลย่อมมาจากเหตุ ถ้าตัดเหตุเสียได้ ผลย่อมไม่มี”  ผมสลดกับประเทศไทยที่พัฒนาไปไม่ได้ เหตุมาจากคนๆ เดียว เป็นนักโทษหนีคดีอาละวาดต่างๆ นานา เหิมเกริมหลายประการ  มีหนังสือรู้ทันทักษิณมา ๕ เล่มแล้ว .. ด่าว่าพลเอกเปรมกระทบเบื้องสูง  สั่งให้สาวกไปเผาศาลากลาง ประกาศว่า “ผมแพ้ไม่ได้”  “ผมผิดไม่ได้”  วิ่งเต้นว่าจ้างทนายต่างประเทศช่วยเหลือตน แต่ให้ร้ายทำลายบ้านเมืองตนเอง ... ฯลฯ (คนๆ นี้แช่งให้ตาย) ฯลฯ

7.    เรื่องอานาปานัสสตินี้ เมืองไทยก็ยังปฏิบัติมิจฉาทิฐิ หลงผิดสอนกันผิดๆ ถ่ายทอดผิดๆ เป็นพวงใหญ่ไปใหญ่เลย  พ่อท่านเป็นพระโพธิสัตว์เห็นความน่าสังเวชเช่นนี้  งานสอนให้คนมีสัมมาทิฐินี้แหละแม้จะยากก็เป็นงานที่น่าทำที่สุด  งานล่าลาภยศชื่อเสียง ก็เคยหลงเสียเวลาไปทำมาตั้งหลายปีเลย ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ย่อมมีการหลงไปได้ทุกๆ การเกิดมา  แม้แต่มหาโพธิสัตว์ใหญ่ระดับเจ้าชายสิทธัทถะ ก็หลงไปปฏิบัติผิดตั้ง ๖ ปี  ทำไมพ่อครูรู้ ก็เพราะเป็นพระโพธิสัตว์เดินรอยเดียวกันมา เห็นการปฏิบัติผิด ศึกษากันผิดๆ แล้วน่าสังเวชใจ ที่เขาหลงผิดไปแม้แต่การเข้าป่า  พ่อท่านก็รู้ตัวว่าการไปทักว่าท่านทั้งหลาย ที่ปฏิบัติดีชอบมานานนั้น เป็นการปฏิบัติผิด พ่อครูจึงต้องยกมือไหว้ขออภัยต่อท่านหลงผิดทั้งหลาย  เพราะปฏิบัติมิจฉาทิฐิ และย่อมมีผู้หมั่นไส้พ่อครู จากเดิมที่ไม่ค่อยชอบใจอยู่แล้ว ก็ยิ่งจะไม่ชอบมากขึ้น

8.    ท่านทั้งหลายนอกจากหลงในการปฏิบัติผิดแล้ว ยังหลงในการหาบริวารให้มาเคารพนับถือ หาลาภสักการะชื่อเสียง พ่อท่านซาบซึ้งจริงๆ ที่ไม่ได้ไปทำเช่นนั้น และไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะไปล้มล้างลัทธิอื่นให้ล้มไป  มีหลักฐานมาตั้งแต่วันประกาศลาออก จากการปกครองเถรสมาคม โดยอ้างเปรียบเทียบเหมือนตนเองนั้น เป็นเพียงร้านปาท่องโก๋เล็กๆ ขายข้างทาง ที่ไม่ขออยู่ร่วมกับบริษัทใหญ่เพราะท่านทั้งหลายใช้สูตรผิดไปจากพระพุทธเจ้า  หากประชาชนไม่อุดหนุนร้านเล็กๆ ก็คงสลายเจ๊งไปเอง  โจทย์ของพ่อครูเป็นโจทย์ที่อาภัพมากกันแบบนี้แหละ

รวมเวลา ๑ ชม. ๒๒ นาที เริ่ม 18:03  ๒๔ เม.ย. พ.ศ.2555  (จบครึ่งแรก เมื่อ 19:19 น.)


ช่วงตอบประเด็น

พ่อครูแจ้งข่าวให้ไปร่วมฟังการเสวนา จัดโดย สถาบันสหสวรรษ  มีคุณไพศาล พืชมงคล  พล.อ.กิตติศักดิ์ และหมอทศพล ตัวแทนกองทัพธรรม  ...

พ่อครูวินิจฉัยคำว่า “ครอบงำทางความคิด” ให้กระจ่างๆ ว่า พ่อครูไม่ต้องการครอบงำทางความคิดใครๆ เลย  พ่อให้เกียรติทุกคน ว่า เขาก็ต้องมีปัญญาของเขา  พ่อครูทำงานมาก็ไม่เคยล่อลวง เล้าโลม หรือหลอกครอบงำความคิดให้ใครมาเป็นพวกเลย  อาตมาไม่อยากได้บริวารที่ถูกหลอกมาเป็นพวก ซึ่งจะได้แต่ฝูงควายเข้ามาเท่านั้น  จงคำนึงให้ดีในการสาธยายใดๆ จงอย่าปลุกเร้าให้คนอื่นมาชื่นชอบ  พ่อท่านจึงต้องพูดตรงๆ ไม่ปิดบังว่า หากมาที่นี่แล้ว คุณจะมีแต่หมดเนื้อหมดตัว  จะต้องมาจน  มาถูกปอกลอก คือ ลอกกิเลส ลอกอัตตาออกจนเหลือน้อย หรือจนหมดสิ้นอัตตาอาสวะกันเลยทีเดียว

พ่อท่านอ่าน sms เช่น การสอนศีลสมาธิปัญญาจะต้องสอนมาตั้งแต่เด็กๆ ... สภาเต็มไปด้วย เฒ่าชูชก เฒ่าลามก กับสาวพริตตี้ ... นักโต้วาทีกำลังบอกว่า ชี้นิ้วกระบวนการยุติธรรมได้ด้วยการปรองดอง ... อยู่รับใช้อาริยะดีกว่าไปรับใช้นายทุน

ตอบประเด็น จากศรีสะเกษ ฌานหมายถึงกระบวนการตั้งแต่สังกัปปะ ธัมมวิจัย ฯลฯ ปัญญาวิมุติ ได้ไหมครับ (ได้ คุณต้องอ่านรู้จักสังกัปปะ ที่มีองค์ทั้ง ๗ เริ่มมาแต่ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นตัวทำงานเริ่มดำริ ฯลฯ จนถึงวิมุติได้) ... เวลาหลับจะมีสติได้ยังไงคะ เพราะหลับไปแล้ว (พ่อครูสอนว่า ปุถุชนหลับมีจิต มีสติยังไง โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ จะมีสติ มีจิตในขณะหลับยังไง  ขอให้คุณฝึกสังวรไปตั้งแต่ยังลืมตาอยู่นี้เถิด แล้วจะมีลำดับไปถึงขั้นนั้นเอง)

จิตวิญญาณกับเอกภพจักรวาล มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่ไหม (คุณถามมาก็แค่อยากรู้เท่านั้นเอง คุณศึกษาเกี่ยวข้องแต่จิตของเราเถอะ อย่าไปวุ่นรู้ถึงเอกภพเลย) ... อ่านหนังสือแล้วมนสิการลมหายใจเข้าออก ได้ไหม (ได้สิ คุณจะต้องใช้การใส่ใจเป็น อ่านหนังสือไปจิตก็จะตรวจสอบตนเองไปด้วยในตัว อ่านแล้วจะตรงกับตัว หรือไม่ตรงกับตัวก็จะเคยตัวโดยอัตโนมัติ  เหมือนคุณดูหนังก็มักจะเห็นว่า ชีวิตฉันเหมือนพระเอก เหมือนนางเอก เหมือนพระรอง นางรอง  ฯลฯ)

คิดก่อนพูด ควรทำใจยังไง ตามรู้ลมหายใจ ? (คำว่าตามรู้ลมหายใจน่ะ พ่อครูว่าไม่ต้องไปกำหนดรู้อะไรมันมากหรอก  พพจ.ให้ใช้มันมาเป็นอุปกรณ์ทำเจโตสมถะเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วให้มีสติรู้ตัว ให้ต่อเนื่องไปเป็นสัมปชัญญะ และยังเจริญต่อเนื่องไปสู่ความรู้ตัวในขณะปฏิบัติด้วยปัญญา (สัมปชานะ)  ที่รู้การแยกแยะ เพื่อแยกเอาเฉพาะอกุศลไปปฏิบัติแผดเผา การรู้ตัวว่ากำลังปฏิบัติแผดเผากันอยู่นี้แหละคือ สัมปัชชติ ... ส่วนเผาแล้วหรือกำลังเผาอยู่ ก็ย่อมจะเกิดความลุกโพลง มีความสว่างไสว เรืองรอง จึงรู้แบบ สัมปัชชลติ  เมื่อได้ผลแล้วจึงรู้การได้ผล บรรลุผลเรียกว่า สัมปัตตะ

จรณะ๑๕  วิชชา๘  มีทั้งวิชชาสาม และวิชชา๘ ไปอ่านดูใน เล่ม ๙ จะมีวิชชา๘ อยู่เต็มไปหมด

ทำบุญถวายเงินกับหลวงปู่ ถือว่าเป็นการถวายเงินเอาหน้าไหมคะ  ทำไมไม่ไปถวายเข้ากับส่วนกลางล่ะคะ  เป็นสมณะรับเงินทองได้ไหมคะ  (พ่อท่านตอบว่า คนที่อยากถวายกับอาตมา เขาก็มีใจติดกับศรัทธาบุคคล  พ่อท่านบัดนี้ยอมอนุโลมรับเงินเข้าส่วนกลาง แบ่งเป็นเงินกองกลาง ๗ กลาง ได้แก่  ๑.กลางสงฆ์ ๒.กลางสุข(กองเงินช่วยสาธารณสุข) ๓.กลางทุกข์ (เป็นสวัสดิการชุมชน) ๔.กลางศึก(คือการศึกษา)  ๕.กลางสื่อ  ๖.กลางค้า  ๗.กลางสาธ์ (สาธารณะอันเป็นกองกลางใหญ่จริงๆ)  พ่อท่านรับประกันตนเองได้ว่ามีภูมิคุ้มกันไม่ตกเป็นทาสเงินแน่นอน  แม้แต่หมู่สงฆ์เองก็ยังนั่น

ชาวบ้านราชส่งข่าวมาบอกว่า ขณะนี้อยู่รอดปลอดภัยดี ไม่มีแดงมาก่อกวนตามที่เขาได้ประกาศไว้ เพียงแต่ไปหมู่บ้านข้างเคียง กะจะจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง (ห้ามชาวอโศกผ่านเส้นทางนั้น)


ไม่มีความคิดเห็น: